เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของปี 2025 ที่ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมแฟชั่นในฐานะ 'มรสุมแห่งการเปลี่ยนผ่าน' ครั้งสำคัญ เมื่อจู่ ๆ กำแพงแห่งกฎเกณฑ์เดิมก็พังทลายลง ทำให้เหล่าแบรนด์หรู ดีไซเนอร์ และคอแฟชั่นทั่วโลกพร้อมใจกันสลัดทิ้งสิ่งเดิมๆ เพื่อแสวงหาแก่นแท้ของตัวตนที่แท้จริง ตั้งแต่ปรากฏการณ์ ‘เกมเก้าอี้ดนตรี’ ที่ดูจะครึกครื้นเป็นพิเศษบนเวทีเดบิวต์คอลเล็กชั่นใหม่ ไปจนถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคในโลกดิจิทัล ที่ทำให้เหล่าแบรนด์ยักษ์ใหญ่ต้องเร่งปรับตัว เพื่อครองใจผู้คน และต่อยอดธุรกิจ นำไปสู่การหันมาโฟกัสที่เหล่าดาราเซเลบริตี้ ไปจนถึง Micro-Influencers เพื่อสร้างพื้นที่สื่อให้เข้าถึงได้ง่าย และตอบโจทย์เหล่า Gen Z ที่กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ และผู้กำหนดทิศทางของวงการแฟชั่นในอนาคต ในโลกที่เทคโนโลยีกับงานคราฟต์จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน VOGUE SCOOP นี้จะพาผู้อ่านดำดิ่งสู่ปรากฏการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นตลอดปี 2025 เพื่อสำรวจว่าอะไรคือสิ่งใหม่ที่ยัง 'คงอยู่' และอะไรคือสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล…

ปี 2025 นี้ รันเวย์แฟชั่นได้กลายเป็นสังเวียนประลองฝีมือที่ดุเดือดกว่าที่เคย เมื่อแบรนด์หรูต่างเปิดม่านต้อนรับเหล่าดีไซน์เนอร์ ที่ก้าวขึ้นมากุมบังเหียนในขณะที่แบรนด์กำลังสั่นคลอน ที่ต่างนำเสนอวิสัยทัศน์แรกภายใต้ชายคาใหม่ของแบรนด์ ซึ่งการเปิดตัวคอลเล็กชั่นปฐมฤกษ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงการนำเสนอเสื้อผ้า แต่เป็นการประกาศทิศทาง และอนาคตที่ต้องอาศัยทั้งความกล้าหาญ และวิสัยทัศน์ในการตีความมรดกของเมซง ผ่านสายตาอันเฉียบคมในการกุมหัวใจของผู้บริโภค และเหล่านักวิจารณ์ ซึ่งการเปลี่ยนผ่านหัวเรือครั้งใหญ่นี้ จึงเป็นไฮไลต์ที่น่าจับตาที่สุดแห่งปี เพราะการเดิมพันครั้งสำคัญนี้จะเป็นการชี้ชะตาว่า ใครจะสามารถสร้าง 'ปรากฏการณ์' ที่ตาตรึงใจ และใครจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายในการเดินตามรอย ที่ผู้นำคนก่อนได้ทิ้งท้ายไว้ มารอดูกันว่า… ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และแสงไฟที่สาดส่อง ใครกันที่จะคว้าตำแหน่ง 'Debut of the Year' ไปครอง

เริ่มกันที่ Balenciaga ภายใต้การนำของ 'Pierpaolo Piccioli' ได้เลือกเดินในเส้นทางที่ท้าทายด้วยการลดทอนความฟุ่มเฟือย เป็นอาวุธในการฟื้นฟูศักดิ์ศรีของแบรนด์ โดยสลัดความกระด้าง และสไตล์สตรีตแวร์ของ Demna ทิ้งไปเกือบทั้งหมด เพื่อกลับไปโอบกอดความงามแบบสถาปัตยกรรม และความสง่างามระดับโอต์กูตูร์ของ 'Cristóbal Balenciaga' ผู้ก่อตั้ง ด้วยการนำเสนอรูปทรงที่โอ่อ่า และวัสดุที่หรูหราอย่าง Neo Gazar ซึ่งเป็นการประกาศเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการยกระดับแบรนด์ สู่ความหรูหราชั้นสูงที่เข้าถึงยากอีกครั้ง ในทางกลับกัน Bottega Veneta ภายใต้การนำของ 'Louise Trotter' ที่เข้ามารับช่วงต่อจาก 'Matthieu Blazy' กลับเลือกหวนสู่ความธรรมดาที่ไม่ธรรมดา โดยมุ่งเน้นที่การตอกย้ำ DNA อันทรงพลังของแบรนด์อย่าง งานฝีมือหัตถศิลป์ และเทคนิคการสานหนัง Intrecciato Trotter ที่ผสมผสานความชำนาญในการตัดเย็บ เข้ากับความเรียบง่าย ทำให้เกิดคอลเล็กชั่นที่สวมใส่ได้จริง และยังคงรักษากลิ่นอายของ Quiet Luxury ไว้ ซึ่งการตัดสินว่าใครคือที่สุดแห่งการเดบิวต์ซีซั่นนี้ จึงขึ้นอยู่กับว่าผู้ชมต้องการเห็นความกล้าหาญในการพลิกโฉม หรือความชาญฉลาดในการต่อยอดมรดกของแบรนด์มากกว่ากัน

การเปิดตัวในซีซั่นนี้ ยังเผยให้เห็นแนวทางการตีความมรดกของแบรนด์ที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ เมื่อ 'Veronica Leoni' ผู้เข้ามาควบคุมทิศทางของ Calvin Klein เธอเลือกที่จะถอดรหัสความมินิมัลแบบอเมริกัน ให้กลายเป็นความหรูหราอย่างมีชั้นเชิง โดยเน้นเทคนิคการตัดเย็บที่เฉียบคม การเลเยอร์อย่างประณีต และการใช้วัสดุชั้นสูง ทำให้แบรนด์กลับมามีความเป็นผู้ใหญ่ และมีบทบาทสำคัญบนรันเวย์อีกครั้ง ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ว่าความมินิมัลไม่จำเป็นต้องเรียบง่าย แต่สามารถทรงพลัง และลุ่มลึกได้พร้อมๆ กัน ขณะที่ 'Mark Thomas' ก็ได้เข้ามารับภารกิจในการฟื้นคืนชีพแบรนด์ Carven ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นความชิค ที่เข้าถึงได้ง่าย และความสนุกสนานของชาวปารีเซียง เขาได้ดึงเอาแก่นแท้ของ Madame Carven มาปรุงแต่งให้มีความทันสมัยมากขึ้น ด้วยดีไซน์ของเสื้อผ้าที่สวมใส่ง่าย สดใส และเบาสบาย ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างฐานลูกค้าที่กว้างขวาง และเป็นมิตร ดังนั้นหาก 'Veronica Leoni' กำลังสร้างนิยามใหม่ของ Quiet Luxury ในอเมริกา 'Mark Thomas' ก็กำลังขุดไอเดียใหม่ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการความมีสไตล์แบบไม่ต้องพยายาม

มาถึงฝั่งของ CELINE และ Dries Van Noten การเดบิวต์ของสองแบรนด์นี้ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการบริหารจัดการมรดกที่แข็งแกร่งของผู้ก่อตั้ง เมื่อ 'Michael Rider' ก้าวขึ้นเป็นผู้นำของ CELINE และต้องสมานฉันท์ระหว่างยุคของ 'Phoebe Philo' และ 'Hedi Slimane' โดยเขาได้นำเสนอเดบิวต์คอลเล็กชั่น ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแบบ 'Preppy-Bourgeois' ที่ผสานความเรียบโก้แบบปารีเซียง เข้ากับการตัดเย็บที่เฉียบคม และลายเซ็นของทั้งสองยุคได้อย่างลงตัว แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการนำพาแบรนด์ไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งผู้ติดตามกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไป ขณะเดียวกัน Dries Van Noten ตัดสินใจแต่งตั้ง 'Julian Klausner' ผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้ก่อตั้งมาอย่างยาวนาน ขึ้นแท่นผู้นำคนใหม่ ที่เป็นการส่งสัญญาณของความต่อเนื่อง และความเคารพต่อมรดกเดิมอย่างสูง โดย 'Julian Klausner' ยังคงรักษาเอกลักษณ์ด้านสีสัน ลวดลายของแบรนด์ไว้ และเพิ่มได้เพิ่มความดราม่าเข้าไป เพื่อสร้างบทใหม่ที่สานต่อความโรแมนติก และศิลปะของแบรนด์ได้อย่างไร้รอยต่อ พูดได้ว่า 'Michael Rider' นั้น คือผู้ที่สามารถประสานรอยแยกของประวัติศาสตร์แบรนด์ได้อย่างชาญฉลาด ส่วน 'Julian Klausner' ก็คือผู้ที่สามารถยกระดับ และสานต่อมรดกให้กลายเป็นงานศิลปะได้อย่างน่าประทับใจ

ต่อกันที่หนึ่งในแบรนด์ที่หลายคนต่างตั้งตารอ และถาโถมความคาดหวังมากที่สุดอย่าง CHANEL โดย 'Matthieu Blazy' นำเสนอทิศทางใหม่ของ CHANEL ที่เน้นการสืบสานอย่างอ่อนโยน มากกว่าการปฏิวัติอย่างรุนแรง ทั้งคอลเล็กชั่นเดบิวต์ และผลงานการอกแบบลำดับที่ 2 อย่าง Métiers d’Art 2025/26 ที่ล้วนเป็นการตีความ Coco Chanel ให้เข้ากับยุคสมัยที่ต้องการเสรีภาพ และความผ่อนคลายในการแต่งกาย รวมถึงผ้าทวีตหลากชิ้นที่ถูกสร้างด้วยเทคนิคการถักทอแบบใหม่ ที่ให้สัมผัสเหมือนผ้านิตติ้งมากกว่าผ้าทอแบบดั้งเดิม พร้อมไฮไลต์สำคัญอย่างกระเป๋า 2.55 Classic Flap ที่มีรูปลักษณ์ดูเหมือนถูกบีบอัด และยับยู่ยี่ราวกับเป็นสมบัติที่ถูกใช้งาน และหวงแหนมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นการลดทอนความสมบูรณ์แบบที่จับต้องไม่ได้ของสินค้าลักชัวรี อันที่จริงแล้วจากความเชี่ยวชาญ และฝีมือการสร้างสรรค์ของ 'Matthieu Blazy' ผู้เขียนก็ไม่จำเป็นต้องบรรยายด้วยถ้อยคำใด ๆ ให้มากมายนัก เพราะผลงานที่แมทธิวนำเสนอมาในแต่ละฤดูกาลนั้น ล้วนเป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่สายตาของสาธารณชนอย่างไม่มีข้อกังขา และพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการสืบทอดมรดกอันล้ำค่าของแบรนด์อย่างเคารพ โดยแทรกเอกลักษณ์ของตัวเองเข้าไปอย่างแนบเนียนนั้น จะทำให้แบรนด์ยังสามารถ 'ขายได้' พร้อมการขยายสู่ฐานลูกค้าใหม่ๆ โดยไม่ทิ้งฐานลูกค้าเดิม

การก้าวเข้ามาคุมบังเหียนของ 'Jonathan Anderson' ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์คนใหม่ของ Dior ได้สร้างผลงานเดบิวต์ที่ได้เสียงตอบรับเชิงบวกอย่างล้นหลาม จากการตีความรหัสแบรนด์ใหม่ ที่เน้นการแสวงหาสไตล์เฉพาะตัว เพื่อสร้าง 'New Era, Not Just New Look' ซึ่งเห็นได้จากการปรับโครงสร้างเสื้อ Bar Jacket ให้สั้นลง และการผสานองค์ประกอบของยุคศตวรรษที่ 18-19 เข้ากับความทันสมัย ผ่านเสื้อผ้า และแอ็กเซสเซอรีครบครัน โดยแนวคิดนี้ถูกสานต่อสู่คอลเล็กชั่น Pre-Fall 2026 Menswear ที่ผสานความหรูหราเข้ากับความเรียบง่าย เพื่อทำให้แฟชั่นชั้นสูงของ Dior กลายเป็นส่วนหนึ่งของตู้เสื้อผ้าที่เข้าถึงได้ และจากความสำเร็จจากอิทธิพลที่ต่อเนื่องนี้ ทำให้ 'Jonathan Anderson' สามารถคว้ารางวัล Designer of the Year จากเวที The Fashion Awards 2025 เป็นปีที่สามติดต่อกัน

มาถึงฝั่งของ Givenchy ภายใต้การนำของ 'Sarah Burton' ที่เปิดตัวคอลเล็กชั่นเดบิวต์สำหรับฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว 2025 ก่อนต่อยอดสู่ฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2026 ที่ยังคงเน้นย้ำถึงแก่นสารของห้องเสื้อ ที่มุ่งเน้นไปที่การกลับสู่รากฐานของแบรนด์ โดยการสำรวจความแข็งแกร่งของผู้หญิง ผ่านความแม่นยำของการตัดเย็บที่เผยให้เห็นผิว และความเย้ายวนที่อยู่ภายใต้โครงสร้างที่คมชัด รวมถึงซิลูเอตที่เน้นการปั้นแต่งรูปทรงโค้งมนตามสรีระของร่างกาย สะท้อนถึงความสง่างามแบบอ่อนโยน แต่ทรงพลังของเหล่าสุภาพสตรี ตามที่ 'Sarah Burton' ได้กล่าวไว้ว่า "ฉันต้องการถ่ายทอดต้นแบบของความเป็นผู้หญิง ไม่ใช่การยืมเอาความเป็นชายมาเสริมพลัง" ในขณะที่ Gucci โดย 'Demna' เปิดตัวด้วยคอลเล็กชั่น 'La Famiglia' ที่เน้นการสร้างเรื่องราว และการเสียดสีทางวัฒนธรรมผ่าน 'Gucciness of Gucci' ที่ผสมผสาน Maximalism, GG Monogram และความเย้ายวนที่กล้าหาญแบบ Tom Ford เข้ากับสไตล์ที่แปลกใหม่ของเขา ที่แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่จะพลิกฟื้นแบรนด์ ด้วยการผสมผสานความขบขัน เข้ากับความหรูหรา เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการเสื้อผ้าที่มีประวัติศาสตร์ ผ่านมุมมองที่ร่วมสมัย

และหากพูดถึงหนึ่งในแบรนด์ที่สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทั่วทั้งโซเชียลภายหลังการเปิดตัวมากที่สุด คงหนีไม่พ้น Jean Paul Gaultier โดย 'Duran Lantink' ดีไซเนอร์ชาวดัตช์ผู้เชี่ยวชาญด้านการ Upcycling ที่ได้เข้ารับตำแหน่งในโครงการดีไซเนอร์หมุนเวียนของ Jean Paul Gaultier และเปิดตัวเดบิวต์คอลเล็กชั่นภายใต้ชื่อว่า 'Junior' ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงไลน์วัยรุ่นของแบรนด์ในอดีต และสาดความดิบเถื่อนเข้าสู่พื้นที่ของความหรูหราอย่างจงใจ โดยไม่ได้สนใจที่จะเข้าถึงผลงานอาร์ไคฟของแบรนด์ แต่เลือกที่จะเป็น 'L'enfant terrible' หรือเด็กที่ชอบก่อความวุ่นวาย ที่ลดทอนความประณีตของแบรนด์ ลงสู่ระดับของมุกตลกที่หยาบคาย และดูไม่สมบูรณ์แบบ ที่สร้าง Shock Value ผ่านชุดบอดี้สูทที่ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงว่า 'ไม่ใช่งานแฟชั่น' นั้น กลับเป็นความสำเร็จอย่างแยบคาย ในการสร้างกระแสไวรัล และตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ Jean Paul Gaultier ได้อย่างดี ขณะที่ Jil Sander โดย 'Simone Bellotti' ดีไซเนอร์ชาวอิตาลีที่เคยทำงานที่ Bally และเป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบเสื้อผ้าบุรุษของ Jil Sander มาก่อน เลือกที่จะกลับไปสู่แก่นแท้ของแบรนด์ และนำเสนอในทิศทางตรงกันข้าม ราวกับเสียงกระซิบที่คนต้องเงี่ยหูฟัง และเป็นการทำความสะอาดครั้งใหญ่ให้กับความอึกทึกครึกโครมนั้น ผ่านโครงสร้างสง่างาม และโฟกัสที่รายละเอียด รวมถึงการกรีดลงบนซิลูเอต ที่เผยให้เห็นถึงผิวอย่างมีศิลปะ รวมถึงการใช้สีสันที่โดดเด่นเพียงจุดเดียว เพื่อทำหน้าที่เป็นเครื่องหมายวรรคตอนให้กับความเรียบง่ายนี้

ถัดมาที่การประลองกลยุทธ์ของ Loewe โดย 'Jack McCollough' และ 'Lazaro Hernandez' สองดีไซน์เนอร์คู่บุญจาก Proenza Schouler ที่รับช่วงต่อจาก 'Jonathan Anderson' โดยทั้งคู่นำเสนอคอลเล็กชั่นเดบิวต์ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการพักผ่อนอย่างมีความสุข ซึ่งเต็มไปด้วยความชัดเจน สีสัน และการเฉลิมฉลองงานฝีมือเครื่องหนังของสเปน ในฐานะที่เป็นหนทางสู่ความสำเร็จเชิงพาณิชย์ จากการสร้างภาพลวงตาบนชุดที่ดูเหมือนผ้าขนหนู และการเปิดตัวกระเป๋า Amazona ที่บิดเบือนเล็กน้อย ซึ่งเป็นการผสานศิลปะและการตลาด เข้ากับความประณีตได้อย่างแยบยล ในทางกลับกัน Maison Margiela โดย 'Glenn Martens' ดีไซเนอร์ชาวเบลเยี่ยมจาก Y/Project ได้เปิดตัวคอลเล็กชั่นเดบิวต์เรดี้ทูแวร์ หลังจากคอลเล็กชั่น Artisanal สุดหรูหรา ซึ่งครั้งนี้เขาเลือกที่จะลดทอนความอลังการลง แต่ยังคงไว้ซึ่งความขัดแย้งอย่างการใช้ 'เครื่องถ่างปากโลหะ' แทนที่ป้ายโลโก้สี่จุดบนเสื้อผ้า เพื่อเป็นการประทับตราโลโก้ลงบนตัวของเหล่านางแบบ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อการปกปิดตัวตนของ Maison Margiela ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างตราสินค้า และการสำรวจร่างกายผ่านโครงสร้างของเสื้อผ้าที่แหวกแนวอย่างสิ้นเชิง

สู่การเปิดฉากที่น่าจับตาของสองแบรนด์ ที่เน้นความเย้ายวน และพลังอันจัดจ้าน ผ่านการนำเสนอด้วยทิศทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงอย่าง Mugler โดย 'Miguel Castro Freitas' ดีไซเนอร์ผู้มีภูมิหลังด้านการสร้างสรรค์งานออกแบบ จากการร่วมงานกับแบรนด์หรูมากมาย อีกทั้งงานฝีมือที่เน้นความละเอียดอ่อน และเทคนิคการตัดเย็บที่ซับซ้อน โดย 'Miguel Castro Freitas' เลือกที่จะหวนคืนสู่แก่นแท้ของ 'Thierry Mugler' ที่เน้นโครงสร้างสถาปัตยกรรม และภาพลวงตาทางสายตา พร้อมลดทอนความกระด้างลงเล็กน้อย นำไปสู่การวิพากษ์ว่าร่างกายควรได้รับการจัดแสดงอย่างไร ผ่านเลนส์สายตาของผู้ชม ในทางตรงกันข้าม Versace โดย 'Dario Vitale' ถ่ายทอดแนวคิด 'The New Italian Maximalism' ที่เผยเสน่ห์ความเย้ายวนแบบดั้งเดิม ซึ่งถูกปรับเส้นสายให้มีความสะอาดตามากขึ้น พร้อมเปิดตัวกระเป๋ารุ่น Versace V-Box ที่เป็นการส่งสัญญาณเชิงว่า Versace กำลังมุ่งเน้นการสร้างรายได้จากสินค้าแอ็กเซสซอรีที่ใช้งานได้จริง’ และจดจำได้ทันทีในตลาดลักชัวรีที่ต้องพึ่งพา It-Bag แต่ทว่า… ภายหลังการเปิดตัวเพียงซีซั่นเดียวเท่านั้น 'Dario Vitale' ก็ได้ประกาศอำลา Versace อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงสภาวะความผันผวน ใน 'เกมเก้าอี้ดนตรี' เพราะหมากที่แข็งแกร่ง จะต้องเดินเกมอย่างมีกลยุทธ์ ถึงจะสามารถอยู่รอดในยุคที่ความสำเร็จของแบรนด์ ไม่ได้วัดเพียงแค่งานออกแบบ แต่รวมถึงความสามารถในการสร้างกระแส และการเติบโตทางพาณิชย์อย่างยั่งยืน ซึ่งการอำลาของเหล่าดีไซน์เนอร์นั้น จะเป็นการเปิดประตูต้อนรับผู้ร่วมเล่นทั้งหน้าใหม่ และหน้าเก่า ให้เข้ามาประชันในสนามประลองที่ดูจะไม่มีจุดสิ้นสุดเลย

ข่าวการจากไปของ 'Giorgio Armani' ถือเป็นการปิดฉากยุคสมัยที่น่าใจหายในประวัติศาสตร์แฟชั่น ทำให้คอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2026 จากเดิมที่จะเป็นผลงานการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี กลายเป็นผลงานสุดท้ายที่ 'Giorgio Armani' จะฝากฝังไว้ในหัวใจของผู้คน ภายใต้วิสัยทัศน์ของความสง่างามโดยไม่ต้องพยายาม ที่เขาสร้างสรรค์มาตลอดห้าทศวรรษ ผ่านคอลเล็กชั่น 'Pantelleria, Milan' ซึ่งเป็นการร้อยเรียงสองสถานที่อันเป็นศูนย์กลางของชีวิต และแรงบันดาลใจของ 'Giorgio Armani' เข้าด้วยกัน ทั้งการผสานความเฉียบคมทางโครงสร้างของเมืองมิลาน เข้ากับความพลิ้วไหว และสีสันจากเกาะปันเตลเลอเรียในเมดิเตอร์เรเนียน โดยมีเหล่านางแบบที่เคยร่วมงานกับ 'Giorgio Armani' มาตั้งแต่ยุค 1980s อาทิ 'Mark Vanderloo' , 'Daniela Pestová' และ 'Nadège Dubospertus' ต่างกลับมาร่วมเดิน ซึ่งหลายคนก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ จนเข้าสู่ช่วงท้ายของโชว์ 'Silvana Armani' และ 'Leo Dell’Orco' ผู้รับช่วงดูแลการออกแบบต่อจากเขา ได้เดินออกมาพร้อมกับเสียงปรบมืออันอบอุ่นในช่วงฟินาเล่ต์ กับชุดราตรีผ้าโปร่งสีน้ำเงินเข้ม ที่ปักประดับด้วยคริสตัลอย่างวิจิตรบรรจง โดยมีภาพเหมือนของ 'Giorgio Armani' ชุดกระโปรง และเสื้อท่อนบนสีน้ำเงินที่ปักด้วยคริสตัล ซึ่งเสื้อท่อนบนนั้นปรากฏภาพวาดใบหน้าอันโด่งดังของ 'Giorgio Armani' มองตรงไปยังเลนส์ และมองไปสู่อนาคต อย่างที่ 'Lauren Hutton' นางแบบระดับตำนานได้กล่าวไว้หลังจบโชว์ว่า "เขาจะคงอยู่ตลอดไป ตราบเท่าที่เรายังคงอยู่"

ในห้วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างหนักอุตสาหกรรมแฟชั่น ที่เคยถูกมองว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อโลกมากที่สุด ก็ได้หันมาประกาศจุดยืนด้านความยั่งยืนอย่างเด่นชัดกว่าที่เคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเวทีแฟชั่นวีกระดับโลก ที่หลายแบรนด์หันมาเลือกใช้วัสดุทางเลือก กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการให้คุณค่ากับงานฝีมือที่ยั่งยืน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ และเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้คน อาทิ แบรนด์ Gabriela Hearst ที่เป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืนมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งแบรนด์ โดยมุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน ซึ่งในคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2026 ถูกรังสรรค์จากการใช้ Deadstock Materials หรือผ้าเหลือใช้จากฤดูกาลก่อนๆ ที่สูงถึง 97% และเน้นการลดปริมาณคาร์บอนผ่านนวัตกรรม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจ ที่โฟกัสเรื่องของอายุการใช้งานที่ยาวนานเป็นหลักสำคัญ ต่อด้วย Stella McCartney หนึ่งในแบรนด์ผู้บุกเบิกดั้งเดิมของแฟชั่นวีแกน และความยั่งยืน ที่ปฏิเสธการใช้วัสดุที่มาจากสัตว์ในทุกคอลเล็กชั่น โดยเฉพาะคอลเล็กชั่นล่าสุด ที่ยังคงตอกย้ำถึงแนวคิด 'Regenerative Luxury' หรือความหรูหราเพื่อการฟื้นฟู โดยไม่เพียงแค่หลีกเลี่ยงเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นบวกต่อโลก เช่น การเปิดตัว FEVVERS ทางเลือกจากพืชแทนขนสัตว์ และ PURE. TECH ผ้าที่สามารถดูดซับมลภาวะทางอากาศได้ ร่วมด้วยแบรนด์หรูอย่าง Bottega Veneta ภายใต้การนำของ 'Louise Trotter' ที่ยังคงเน้นย้ำงานหัตถศิลป์ของอิตาลีคุณภาพสูง และคงทน ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของความยั่งยืน อีกทั้งการนำเส้นใยรีไซเคิลนี้มาถักทอเป็นเสื้อผ้า ตั้งแต่ กระโปรงดินสอ เสื้อแจ็กเก็ต และเสื้อเบลาส์ ที่มอบผิวสัมผัสกึ่งกลางระหว่างขนนก และขนเฟอร์ ตามด้วย Moschino กับแนวคิด 'Reuse, Recycle, Reimagine' ที่ผสานความตลกขบขัน เข้ากับความรับผิดชอบต่อสังคมได้อย่างลงตัว จากการนำของเดิมมาใช้ใหม่ การยกระดับสิ่งของในชีวิตประจำวันให้กลายเป็นแฟชั่นชั้นสูง และการใช้องค์ประกอบที่สื่อถึงการรีไซเคิลอย่างมีอารมณ์ขัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าการใส่ใจโลก ก็สามารถมาพร้อมกับความสนุกสนาน และความคิดสร้างสรรค์ได้ และไม่ใช่แค่แบรนด์ฝั่งตะวันออกเพียงเท่านั้น ฝั่งเอเชีย หรือแม้แต่ประเทศไทยเองก็มีแบรนด์ที่แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในเรื่องของ 'แฟชั่นที่ยั่งยืน' อย่าง Philip Huang ที่ใช้สีธรรมชาติแทนสีสังเคราะห์ โดยเฉพาะสีย้อมครามจากภูมิปัญญาของชาวบ้านในจังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่ชุมชน และแบรนด์ Pipatchara ที่นิยามตัวเองว่าเป็น Sustainable Brand และ Fashion for Community ที่พัฒนา 'Infinitude' ซึ่งผลิตจาก ‘ขยะกำพร้า’ ขยะที่ไม่มีมูลค่าทางการตลาด หรือไม่คุ้มค่าแก่การรีไซเคิล เช่น ฝาขวดน้ำ ถาดอาหารพลาสติก และอวน โดยนำมาหลอม และแปรรูปเป็นแผ่นพลาสติกใสสีสันสวยงาม เพื่อใช้ทำกระเป๋า และเครื่องแต่งกาย ที่เป็นการเปลี่ยนขยะให้เป็นทรัพยากรที่มีมูลค่า และสร้างการรับรู้ว่าแฟชั่นหรูสามารถเกิดขึ้นได้แม้จะทำจากวัสดุรีไซเคิล

ในฤดูกาลนี้วงการแฟชั่นได้ก้าวข้ามกรอบความคิดที่ว่า 'จะเปิดตัวคอลเล็กชั่นใหม่ก็ต้องจัดแสดงแฟชั่นรันเวย์' โดยเหล่าแบรนด์ลักชัวรี และสตรีตแวร์จำนวนมากได้หันมาเลือกใช้กลยุทธ์ 'No Runway, No Problem' เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมที่ลึกซึ้งกว่า ทำลายความรู้สึกของการผูกขาด และหันมาเล่าเรื่องผ่านวิธีต่างๅ ที่เป็นการกำหนดทิศทางของแบรนด์ อาทิ Gucci ภายใต้การนำของ Demna ที่สร้างปรากฏการณ์ด้วยการปฏิเสธการจัดแฟชั่นโชว์ตามปกติ และเปิดตัวคอลเล็กชั่นเดบิวต์ 'Gucci: La Famiglia' ผ่าน ภาพยนตร์สั้นชื่อว่า 'The Tiger' ที่กำกับโดยผู้ชนะรางวัลออสการ์อย่าง 'Spike Jonze' และ 'Halina Reijn' นำแสดงโดยดาราดัง อาทิ 'Demi Moore' , 'Edward Norton' , 'Kendall Jenner' และ 'Elliot Page' ที่ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงเสื้อผ้าคอลเล็กชั่นใหม่ แต่เป็นการเล่าเรื่องราวทั้งหมด แทนที่คนจะลืมเสื้อผ้าภายในไม่กี่วันเหมือนกับการเดินโชว์ที่ผ่านมา แต่ Demna เลือกที่จะสร้างจักรวาลของ Gucci ที่ยังฝังอยู่ในความทรงจำของผู้คนผ่านภาพยนตร์ ขณะที่ Diesel ภายใต้การนำของ 'Glenn Martens' เลือกใช้กลยุทธ์ที่ตรงกันข้ามกับความหรูหราแบบปิดกั้น ด้วยการนำเสนอคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2026 ผ่าน 'การล่าไข่' ทั่วเมืองมิลาน ที่ 'Glenn Martens' ได้นำเสื้อผ้าทั้งหมด 55 ลุค ไปใส่ไว้ในแคปซูลใสรูปไข่ จำนวน 34 ชิ้น แล้วนำไปจัดวางทั่วเมือง พร้อมเชิญผู้เข้าร่วมกว่า 5,000 คน ออกล่าตามหาไข่ ที่ทุกคนได้มีส่วนร่วม และสัมผัสประสบการณ์แบบใกล้ชิด ซึ่งตอกย้ำถึงจิตวิญญาณที่กบฏ และไม่เคารพขนบธรรมเนียมตามแบบฉบับของ Diesel ได้อย่างดี รวมถึงการที่เหล่าแบรนด์หรูได้เผยพรีวิวลุค และทิศทางของแบรนด์ ก่อนเปิดตัวเดบิวต์คอลเล็กชั่นอย่างเป็นทางการ โดยให้เหล่าเซเรบริตี้สวมใส่ชุดคอสตอมพิเศษบนพรมแดง อาทิ 'Anya Taylor-Joy' สวมเดรสสีฟ้าอ่อน ตกแต่งดีเทลริบบิ้นซาตินถักสาน จาก Dior ตัดเย็บโดย 'Jonathan Anderson' ในงาน TIFF 2025 และเทศกาลภาพยนตร์กรุงเวนิสประจำปี 2025 ณ Lido di Venezia ประเทศอิตาลี ที่เหล่าแบรนด์หรูต่างออกมาประชันกันอย่างคับคั่ง เริ่มตั้งแต่ 'Ayo Edebiri' ในลุคแจ็กเก็ตผ้าขนสัตว์สีเข้าชุดจาก CHANEL โดย 'Matthieu Blazy' ขณะที่ 'Alba Rohrqavher' มาในเดรสผ้าซาตินสีกรมท่า พร้อมโครงสร้างสไตล์วิกตอเรียน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เราได้ยลโฉมผลงาน Dior Haute Couture โดย 'Jonathan Anderson' หรือ ‘Julia Roberts’ ในลุคก่อนเดบิวต์จาก Versace โดย 'Dario Vitale’ กับเดรสยาวเข้ารูปสีกรมท่า ผ้า Crepe de chine ตัดต่อลาย Damier ปิดท้ายด้วย ‘Cate Blanchett' หนึ่งในคนแรกๆ ที่ได้สวมใส่เดบิวต์กูตูร์คอลเล็กชั่นของ 'Glenn Martens' จากแบรนด์ 'Maison Magiela' ในชุดเดรสโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล ตกแต่งกระโปรงขนนกผ้าเดนิมยาวลากพื้น คู่กับรองเท้าบูตรุ่น Tabi ทรงกีบในตำนาน

ปีนี้วงการแฟชั่นได้ตอกย้ำถึงการหลอมรวมกับ วัฒนธรรมฮิปฮอปอย่างสมบูรณ์แบบ ที่เหล่าแรปเปอร์ไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภค หรือสวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงอีกต่อไป แต่ได้ขึ้นแท่นมาเป็น ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์, แบรนด์แอมบาสเดอร์ และผู้สร้างปรากฏการณ์ ที่กำหนดทิศทางของความหรูหรา และสตรีตแวร์ไปพร้อมกัน อาทิ 'A$AP Rocky' , 'Pharrell Williams' , 'Jaden Smith' และ 'Kendrick Lamar' ที่ล้วนเป็นเสาหลักที่แสดงให้เห็นถึงพลังอันไร้ขีดจำกัดนี้ พร้อมด้วยอิทธิพลจากเหล่สแรปเปอร์มากมาย ที่เข้ามาเติมเต็มอิทธิพลของในวงการแฟชั่น เริ่มตั้งแต่ A$AP Rocky ที่เป็นที่รู้จักในฐานะแรปเปอร์คนแรก ๆ ที่นำพาแฟชั่นชั้นสูง เข้าสู่กระแสหลักของฮิปฮอปได้อย่างกลมกลืน ตั้งแต่ยุคที่เขานำแบรนด์อย่าง Rick Owens และ Raf Simons มาสู่โลกสตรีตแวร์ และร่วมสรรค์สร้างผลงานกับเหล่าแบรนด์หรูมาโดยตลอด และล่าสุด CHANEL ประกาศแต่งตั้ง A$AP Rocky ขึ้นแท่นแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่างเป็นทางการ ต่อด้วย ‘Pharrell Williams’ ที่ได้จำกัดตัวเองอยู่ในวงการเพลงมานานแล้ว และก้าวข้ามไปสู่การเป็นผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ Louis Vuitton Men's ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีอิทธิพลสูงสุดคนหนึ่งในวงการแฟชั่น และในฐานะผู้นำของ Louis Vuitton Men’s เขาได้ใช้เวทีนี้เพื่อ เฉลิมฉลองความหลากหลายและงานฝีมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอแง่มุมของวัฒนธรรมผิวดำ และงานศิลปะของชาวแอฟริกันอเมริกันเข้าสู่ตลาดลักชัวรีระดับโลก ถัดมาที่ ‘Jaden Smith’ แรปเปอร์ และนักแสดงหนุ่มที่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่กล้าหาญ ในการท้าทายขนบธรรมเนียมทางเพศในโลกแฟชั่น ด้วยภาพลักษณ์และสไตล์ของ 'Jaden Smith' มักมีการผสมผสานเสื้อผ้าผู้หญิงเข้ากับเครื่องแต่งกายผู้ชายอย่างเป็นธรรมชาติ การที่เขาปรากฏตัวด้วยการแต่งหน้าจัดจ้าน หรือสวมกระโปรงบนพรมแดง สะท้อนถึงการทลายกรอบของความเป็นชายแบบเดิมๆ ได้อย่างดี และเขายังคงเป็นกระบอกเสียงสำคัญ ที่ผลักดันให้แบรนด์หรูเปิดใจกับเสื้อผ้าที่ไม่จำกัดเพศ การที่เขาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ใหญ่ และขึ้นแท่นเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์สินค้าผู้ชายคนแรกของ Christian Louboutin แสดงให้เห็นว่าวงการแฟชั่นพร้อมแล้วที่จะให้พื้นที่กับ 'เสรีภาพในการแสดงออก' อย่างแท้จริง ปิดท้ายด้วย 'Kendrick Lamar' ที่อาจไม่ได้มีบทบาทในวงการแฟชั่นโดยตรง แต่เขาคือ 'ผู้สร้างปรากฏการณ์' ทุกครั้งเมื่อขึ้นแสดง หรือปรากฏตัวต่อสาธารณะ การที่แบรนด์หรูยอมมอบตำแหน่งสูงสุดให้กับพวกเขา หรือให้การสนับสนุน แสดงให้เห็นถึงการยอมรับว่า พลังที่แท้จริงของการตลาดในยุคปัจจุบันอยู่ที่เสียง และวิสัยทัศน์ของศิลปิน ซึ่งสะท้อนถึงยุคสมัยที่แฟชั่น ดนตรี หรือแม้แต่ภาพยนตร์ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

นอกเหนือจากวงการดนตรี อุตสาหกรรมแฟชั่นและภาพยนตร์ มีความสัมพันธ์ที่พึ่งพาอาศัยกันมาอย่างยาวนาน ไม่เพียงแค่การแมตช์เสื้อผ้า เพื่อสร้างตัวละครให้สมบูรณ์ แต่เป็นหนึ่งในการกำหนดเทรนด์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในการแต่งกายของผู้คนทั่วโลก เพราะแฟชั่นที่ปรากฏบนภาพยนตร์คลาสสิก ไปจนถึงซีรี่ส์บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงสร้างตัวละครให้สมบูรณ์เท่านั้น แต่ยังสร้างแรงปรารถนาให้ผู้ชมอยากจะ 'เป็น' หรือ 'รู้สึก' เหมือนตัวละครนั้น ๆ ผ่านสไตล์ที่ถูกนำเสนอ โดยเหล่าคอสตูมดีไซเนอร์ที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับเฮาส์แฟชั่นชั้นนำ เพื่อสร้างเครื่องแต่งกายที่สะท้อนถึงสถานะทางสังคม และอัตลักษณ์ของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งบางครั้งเครื่องแต่งกายเหล่านั้นก็ก้าวข้ามขีดจำกัดกลายเป็น ไอคอนิกลุคที่สร้างความผูกพันทางอารมณ์ และคุณค่าทางวัฒนธรรมให้แก่แบรนด์ ทำให้ทั้งสองอุตสาหกรรมนี้ต่างช่วยกันขับเคลื่อน และนิยามทิศทางของวัฒนธรรมร่วมสมัยให้เดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

อุตสาหกรรมแฟชั่นได้ก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่น่าสนใจอีกครั้ง จากการเบนเข็มจากศูนย์กลางที่เคยเป็น 'ตัวแบรนด์' ไปสู่ 'ตัวบุคคล' ไม่ว่าจะเป็นดีไซเนอร์ผู้กุมบังเหียนความคิดสร้างสรรค์ นักแสดง ศิลปินระดับโลก หรือเหล่าเซเลบริตี้ผู้ทรงอิทธิพล ปรากฏการณ์นี้เป็นมากกว่าเทรนด์ชั่วคราว แต่คือการเปลี่ยนแปลงทางกลยุทธ์ และพฤติกรรมผู้บริโภคครั้งใหญ่ ซึ่งก่อให้เกิดการสร้างมูลค่าทางธุรกิจผ่าน 'ความจริงใจ' และ 'เรื่องราวส่วนตัว' อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในอดีตชื่อเสียงของเฮาส์แฟชั่นมักบดบังตัวตนของผู้ออกแบบ แต่ในปัจจุบันชื่อของดีไซเนอร์ได้กลายเป็นใบเบิกทางที่สำคัญที่สุด การที่แบรนด์เลือกโฟกัสไปที่บุคลิก และปรัชญาของผู้นำทางความคิด เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้าง ความผูกพันทางอารมณ์ เพราะเหล่าดีไซเนอร์ในยุคนี้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงหลังม่านอีกต่อไป พวกเขาใช้แพลตฟอร์มส่วนตัวในการสื่อสารวิสัยทัศน์ แรงบันดาลใจเบื้องหลังคอลเล็กชั่น แม้กระทั่งมุมมองส่วนตัวต่อประเด็นทางสังคม การเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงนี้สร้าง Human-Centric Marketing ที่ลึกซึ้งกว่าโฆษณาใด ๆ เพราะผู้บริโภคไม่ได้ซื้อเพียงแค่เสื้อผ้า แต่กำลังซื้อมุมมอง และปรัชญาชีวิต ของบุคคลที่พวกเขาชื่นชม ทำให้ความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นตามความน่าเชื่อถือของผู้สร้างสรรค์
และบทบาทของเหล่าดารา เซเลบริตี้ในวงการแฟชั่นได้วิวัฒนาการจากการเป็นเพียง พรีเซนเตอร์ ไปสู่การเป็น ผู้กำหนดรสนิยม และผู้คัดสรร ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อของผู้คนในทันที เนื่องจากในยุคของสื่อดิจิทัล บุคคลเหล่านี้สามารถสร้างเทรนด์ใหม่ได้ภายในพริบตาผ่านพื้นที่ของตนเอง เช่น Instagram, TikTok จากการปรากฏตัวในชุดใดชุดหนึ่ง ไม่ว่าจะบนพรมแดง, Street Style หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวัน ก็จะถูกถ่ายทอด และสร้างมูลค่ามหาศาลจากความน่าเชื่อถือ เพราะผู้คนในปัจจุบันให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์แบบโต้ตอบ และความโปร่งใส เมื่อเซเลบริตี้แสดงความชื่นชอบในผลิตภัณฑ์ใดอย่างจริงใจ (ที่ไม่ใช่เพียงแค่การจ่ายค่าโฆษณา) มันเป็นการสร้างความไว้วางใจให้กับผู้ติดตาม ซึ่งเป็นสกุลเงินที่แพงที่สุดในการตลาดปี 2025 และเมื่อแบรนด์ต้องพึ่งพาภาพลักษณ์ ที่ควบคุมได้ยากเพียงอย่างเดียวอาจมีความเสี่ยงด้านชื่อเสียง แต่เมื่อแบรนด์มีใบหน้า และเสียงที่เป็นมนุษย์ จะทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการเล่าเรื่องราว และช่วยให้แบรนด์สามารถเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายขึ้นตามความสนใจในตัวบุคคลนั้น ๆ แฟชั่นในปี 2025 จึงเป็นยุคสมัยที่ เรื่องราวของมนุษย์มีความสำคัญเหนือโลโก้ การให้ความสนใจที่ดีไซเนอร์, ดารา, และเซเลบริตี้ ไม่ได้หมายถึงการลดความสำคัญของแบรนด์ แต่เป็นการยกระดับแบรนด์ให้มีเสียงที่ชัดเจนขึ้น ผ่านบุคคลที่น่าเชื่อถือ และเข้าถึงได้ง่าย การปรับตัวนี้เป็นสัญญาณเชิงบวกที่แสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมแฟชั่นกำลังเติบโตไปสู่ความโปร่งใส ความหลากหลาย และการสร้างมูลค่าที่แท้จริงจากพลังแห่งปัจเจกบุคคล

และสิ่งที่มาแรงที่สุดในปี 2025 ก็คือเหล่า Gen Z ที่กลายเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดในการปฏิรูปภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมแฟชั่นยุคใหม่ พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย แต่เป็นผู้มีอิทธิพลทางวัฒนธรรม ที่สร้างนิยามใหม่ให้กับคำว่า 'สไตล์' ตั้งแต่เรื่องความยั่งยืน ไปจนถึงความสวยงามที่หลากหลาย การเรียกร้อง และพฤติกรรมการบริโภคของคนกลุ่มนี้ ทำให้แบรนด์แฟชั่นระดับโลกต่างต้องปรับกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน โดยหัวใจสำคัญของ Gen Z คือ การแสดงออกถึงตัวตน ที่ไร้ขีดจำกัด และกฎเกณฑ์ พวกเขาปฏิเสธแนวคิดเรื่องการแต่งกายตามเพศสภาพแบบดั้งเดิม และไม่ยึดติดกับเทรนด์ใดเทรนด์หนึ่งนานเกินไป รวมถึงการสร้างและบริโภคสไตล์ย่อย ๆ ที่เรียกว่า 'Core' นับไม่ถ้วน อาทิ Cottagecore, Dark Academia, Y2K ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการเปลี่ยนอัตลักษณ์ไปตามอารมณ์ หรือความสนใจได้อย่างรวดเร็ว พวกเขามองว่าการจับคู่เสื้อผ้าแบรนด์เนม เข้ากับสินค้ามือสอง หรือเสื้อผ้าจากตลาดนัดคือเรื่องปกติ การแต่งตัวนั้นคือเป็นศิลปะที่แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์มากกว่าสถานะทางการเงิน ซึ่งโดยส่วนมากมักมีความต้องการที่จะเป็นที่จดจำในโลกออนไลน์ พวกเขาใช้แฟชั่นเพื่อสร้าง 'ไวรัลโมเมนต์' หรือแสดงจุดยืนที่ไม่เหมือนใครบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่แม้จะเน้นความโดดเด่น แต่ Gen Z ก็เป็นกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลจากกระแสบนโลกออนไลน์อย่างรวดเร็วที่สุด การไหลตามกระแสของพวกเขาเกิดขึ้นอย่างแนบเนียนผ่านกลไกของแพลตฟอร์มดิจิทัล อย่างการสร้างเทรนด์ใน TikTok ที่กลายเป็นคลาสแฟชั่นที่ทรงพลังที่สุด การเห็นคนนับร้อยนับพันคนสวมใส่เสื้อผ้าที่มีองค์ประกอบคล้ายกัน แม้จะไม่ได้ตั้งใจตามแฟชั่นกระแสหลัก แต่ในที่สุดก็ก่อให้เกิด 'Micro-Trend' ที่ผู้คนจำนวนมากทำตาม โดยไม่ได้รู้สึกว่ากำลัง 'ตาม' แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งอยู่ และแม้จะภูมิใจในความแตกต่าง แต่การอยู่ในกลุ่มเพื่อน หรือคอมมูนิตี้บนโลกออนไลน์ก็มี Dress Code ที่ซื้อสินค้าไวรัลโดยไม่รู้ตัว เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเป็นตัวเอง เพราะฉันเลือกเอง และการเข้าร่วมกลุ่ม เพราะคนในกลุ่มกำลังทำไปพร้อมกัน ซึ่งจากพฤติกรรมเหล่านี้ Gen Z ทำให้วงจรแฟชั่นหมุนเร็วขึ้นอย่างมาก เพราะความเบื่อหน่ายกับสไตล์เดิม ๆ และแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ ทำให้เทรนด์ที่เคยอยู่ได้หลายปี อาจอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือน การไหลตามกระแสจึงไม่ใช่การภักดีต่อแบรนด์ แต่เป็นการภักดีต่อความเปลี่ยนแปลง จากกระแสเหล่านี้ทำให้อุตสาหกรรมแฟชั่นต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรม และความเชื่อของ Gen Z โดยใช้กลยุทธ์ ‘ความยั่งยืนและจริยธรรมที่จำเป็น' เพราะ Gen Z มีความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม และสังคมสูง พวกเขาไม่ได้มองว่าความยั่งยืนเป็น 'จุดขาย' แต่เป็น 'ความรับผิดชอบพื้นฐาน' ที่ทุกแบรนด์ต้องมี ถ้าแบรนด์ที่ไม่สามารถแสดงความโปร่งใสในกระบวนการผลิต หรือไม่ใช้แนวคิดแฟชั่นหมุนเวียนนั้นอาจจะซบเซา ขณะที่ตลาดสินค้ามือสอง และการนำวัสดุเก่ามาสร้างสรรค์ใหม่ เติบโตอย่างก้าวกระโดด
"...จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ ทำให้ผู้เขียนนึกย้อนไปว่า ตั้งแต่ก้าวแรกที่ได้เข้ามาอยู่ในวงการแฟชั่น เมื่อต้นปี 2025 โลกใบเดิมที่เคยมองว่า 'แฟชั่น' เป็นแค่เรื่องการแต่งตัวให้สวย เก๋ และดูด ก็ขยายใหญ่ขึ้นจนแทบไม่เหลือพื้นที่เดิมให้ยืนอยู่ ราวกับว่ามันเป็นจักรวาลใบใหม่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวมากกว่าที่เคยคิดไว้ ทั้งเทรนด์ที่เกิดขึ้นแล้วดับลง และเหล่าดีไซเนอร์ที่สลับผลัดเปลี่ยน พูดได้ว่าเป็นปีแห่งการเริ่มต้นจริงๆ ทั้งสำหรับตัวเราเอง และวงการแฟชั่นที่กำลังก้าวเข้าสู่บทใหม่ โดยไม่รู้เลยว่าปีต่อๆ ไป จะนำพาไปเจอกับอะไร แต่มันจะเป็นการเดินทางที่ทำให้เรา และวงการแฟชั่นเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน..."

VOGUE SCOOP | สำรวจมิติของความเป็นมนุษย์ผ่านเลนส์ 'อมนุษย์' จากภาพยนตร์เรื่อง Frankenstein 2025




