โลกศิลปะกับแฟชั่นคือสิ่งที่ผนวกเข้ากันอยู่เสมอ งานนิทรรศการมากมายถูกจัดขึ้นเพื่อแสดงวัฏจักรความเคลื่อนไหวทางแฟชั่นเช่นเดียวกับศิลปะ อาจจะเหมารวมถึงการเดินทางผ่านกาลเวลาของสังคมที่มีการผันเปลี่ยนไปตามปัจจัยต่างๆ ดังนั้นการจัดแสดงงานแฟชั่นจึงเป็นเหมือนเครื่องมือบอกเล่าความน่าสนใจแต่ละแบรนด์ได้เป็นอย่างดี ช่วงปี 2025 ก็เป็นช่วงที่แบรนด์จัดนิทรรศการเพื่อถ่ายทอดมนต์เสน่ห์และหยิบยกความโดดเด่นในมิติต่างๆ อย่างครบถ้วน #VOGUESCOOP วันนี้จึงพาทุกคนไปสัมผัสเรื่องราวของนิทรรศการที่พาเราไปในมิติที่ล้ำลึกและหลากหลายกว่าที่เคย

- THE LAST MEMORY FROM THE GREAT DESIGNER
นิทรรศการครั้งสำคัญของแบรนด์แฟชั่นอาจผูกติดกับช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง อย่างในช่วงกลางปีแบบนี้ Balenciaga จัดนิทรรศการเพื่อแสดงผลงานของ Demna เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะย้ายเมซงไปสู่แบรนด์อิตาเลียนระดับยักษ์ใหญ่ภายใต้เครือ Kering อย่าง Gucci ผลงานของเขาตั้งแต่ของกระจุกกระจิกอย่างบัตรเชิญ แอ็กเซสเซอรี่ เรื่อยไปจนถึงผลงานสุดไวรัลต่างๆ ที่ปรากฏอยู่บนรันเวย์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แนวคิด Balenciaga by Demna “Exactitudes” ถูกตีแผ่ตั้งแต่คอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2026 มาจนถึงนิทรรศการครั้งนี้ รวบรวมรหัสการออกแบบตามแบบฉบับของเดมน่าไว้อย่างครบถ้วน ซึ่งมีการหยิบยกวิธีการตีความการออกแบบของ Cristóbal Balenciaga ในรูปโฉมใหม่ผ่านการทดลองทั้งเรื่องสัดส่วน ความสำเร็จรูป ภาพลวงตา ไปจนถึงวิถีอัปไซเคิล นอกจากนี้ยังนำเสนอกลิ่นอายความขบถในการทบทวนกฎเกณฑ์แห่งโลกแฟชั่น และการแต่งกายร่วมสมัย รวมถึงการตั้งคำถามถึงแฟชั่นในชีวิตประจำวันและความหรูหราด้านแฟชั่น นับนิทรรศการที่เหมือนจดหมายลาในฐานะหัวเรือใหญ่ของบาเลนเซียกา ในขณะเดียวกันก็เป็นบันทึกความทรงจำครั้งสุดท้ายที่ถ่ายเรื่องราวและวิถีการออกแบบของเดมน่าให้ทุกคนได้สัมผัสอย่างลึกซึ้ง

- EMBRACING CULTURAL ARTIST
สำหรับนิทรรศการแฟชั่นหรือศิลปะ แบรนด์ส่วนใหญ่อาจบอกเล่าเรื่องราวของตนเป็นหลัก แต่ Fendi เลือกสรรการนำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างออกไปในปีนี้ เพราะแบรนด์จับมือกับศิลปินหญิงชาวอเมริกันเชื้อสายเคนย่าอย่าง Wangechi Mutu และแกเลอรี่ศิลปะอย่าง Galleria Borghese นำเสนอนิทรรศการภายใต้ชื่อ “Black Soil Poems” ซึ่งถือเป็นนิทรรศการเดี่ยวของศิลปินหญิงที่ยังมีชีวิตอยู่คนแรกของแกเลอรี่อันยิ่งใหญ่กลางกรุงโรม เน้นการนำเสนอผลงานผ่านรูปทรงประติมากรรมแบบแขวน การเคลื่อนไหวเชิงพื้นที่ และตำนานใหม่ๆ เชื่อมโยงตั้งแต่ภายในอาคารไปจนถึง Secret Gardens นับเป็นนิทรรศการศิลปะที่ใช้พื้นที่การจัดแสดงในการเล่าเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ ทั้งจังหวะการเว้นที่ว่าง การจัดแสดงตามมุมหรือกลางห้อง การแขวนห้อย และรูปแบบการจัดแสดงที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังสะท้อนภาพความใส่ใจเกี่ยวกับศิลปินของเฟนดิที่ไม่เพียงผูกโยงกับแฟชั่นหรือผลงานเก่าในคลังสะสม แต่หมายถึงการเปิดโอกาสในการถ่ายทอดวัฒนธรรมที่หลากหลายและสามารถเชื่อมโยงเข้ากับบรรยากาศเก่าแก่ฉบับอิตาเลียน การสนับสนุนเชิงศิลป์เหล่านี้คือคำตอบของการสดุดีและเฉลิมฉลองให้กับงานศิลปะแบบไร้ขอบเขต พร้อมผลักดันศิลปินที่มีรากฐานวัฒนธรรมและเรื่องราวโดดเด่นได้นำเสนอชิ้นงานศิลปะที่จะเปิดมุมมองของผู้เยี่ยมชมได้อย่างน่าสนใจ มากไปกว่านั้นแบรนด์ยังรักษาอัตลักษณ์ของความใส่ใจและเป็นเลิศด้านศิลปะอย่างถึงที่สุด แม้จะไม่ได้ข้องเกี่ยวกับแฟชั่นหรือผลงานบนรันเวย์ที่ผ่านมาจากดีไซเนอร์ก็ตาม

- RICH HISTORY IS ETERNAL
ความรุ่มรวยทางประวัติศาสตร์แฟชั่นคือสิ่งที่เชื่อว่าใครหลายคนสนใจอยู่เสมอ ความอมตะเหนือกาลเวลาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญและทรงคุณค่า Chanel แบรนด์ซึ่งมีจุดยืนในการสนับสนุนศิลปะอันน่าสนใจมาโดยตลอด เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนนิทรรศการของ Charles Frederick Worth ตำนานกูตูริเยร์ที่ถือเป็นผู้ริเริ่มเส้นทางโอตกูตูร์อย่างเป็นทางการ โดยมีชื่อนิทรรศการว่า “Worth: Inventing Haute Couture” ชุบชีวิตเสื้อผ้าตัดเย็บชั้นสูงตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 19 มาจัดแสดง ณ Petit Palais ใจกลางกรุงปารีส ก่อนจะเล่าเรื่องราวสู่วิถีโอตกูตูร์ผ่านผลงานกว่า 400 ชิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชุดเสื้อผ้ากว่า 80 ชิ้น บางชิ้นอาจเปราะบางเกินกว่าจะนำเสนอมาจัดแสดงได้อีกหลังจากนี้ นี่คือผลผลิตเชิงวัฒนธรรมที่นิยามคำว่า “โอตกูตูร์” รวมถึงสร้างบรรทัดฐานของอุตสาหกรรมลักชัวรีร่วมสมัยจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นกูตูริเยร์ผู้โด่งดัง แบรนด์แฟชั่น คอลเล็กชั่นตามฤดูกาล และแน่นอนที่ขาดไม่ได้คือแฟชั่นโชว์ ผลงานของชาร์ลส์จึงไม่เพียงแต่เป็นผลผลิตที่ยอดเยี่ยมและน่าประทับใจในเชิงเทคนิค แต่หมายถึงหมุดบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เพียบพร้อมด้วยเรื่องราวอันมีความสำคัญในจักรวาลแฟชั่นทั้งปวง การสนับสนุนของชาเนลจึงเปรียบเหมือนการต่อยอดและรักษาความอมตะของโลกแฟชั่น เรื่อยไปจนถึงสะท้อนภาพความมุ่งมั่นในการสืบทอดความยิ่งใหญ่ในเชิงแฟชั่นสืบไป

- THE GREATNESS BEYOND TIME
หนึ่งในนิทรรศการที่ได้รับความสนใจที่สุดในรอบปี 2025 คือการจัดแสดงของแบรนด์ Cartier ณ พิพิธภัณฑ์ Victoria & Albert กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นเวลาเกือบ 30 ปีที่เมซงแห่งนี้ไม่ได้จัดแสดงหรือนำเสนอชิ้นงานอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ภายในห้อง The Sainsbury Gallery มีการรวบรวมชิ้นงานกว่า 350 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นจิวเวลรี นาฬิกา เรื่อยไปจนถึงเอกสารชิ้นสำคัญของคาร์เทียร์ สะท้อนภาพความทรงคุณค่าและอิทธิพลที่ถ่ายทอดต่อเนื่องมายาวนานหลายทศวรรษ มหากาพย์การจัดแสดงสิ่งล้ำค่าจำนวนมากมายมหาศาลเช่นนี้ เปรียบเหมือนการหยิบยกบทสำคัญในหนังสือประวัติศาสตร์มาบอกเล่าด้วยชิ้นงานจริงที่ตั้งตระหง่านให้ผู้เยี่ยมชมสัมผัสด้วยสายตาของตัวเอง และยิ่งประกอบกับบรรยากาศของพิพิธภัณฑ์อันยิ่งใหญ่ยิ่งสะท้อนความตราตรึงใจที่พร้อมเสิร์ฟให้กับผู้หลงใหลทั้งเรื่องจิวเวลรี เรือนเวลา และประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม นับเป็นอีกหนึ่งนิทรรศการที่ประทับตราความสุดยอดในจักรวาลลักชัวรีโดยแท้จริง

- THROUGH THE JOURNEY OF MAISON
นิทรรศการ “Louis Vuitton Visionary Journeys” โดย Louis Vuitton ณ “The Louis” เซี่ยงไฮ้ ตั้งมาตรฐานการบอกเล่าเรื่องราวขึ้นอีกระดับ โดยการเปรียบเปรยถึงการเดินทางตั้งธีมทั้งเรื่องการท่องเที่ยว งานฝีมือ แฟชั่น และนวัตกรรม ส่งเรื่องราวผ่านการจัดแสดงแบบอินเตอร์แอ็กทีฟ เหมือนการประสานอดีตและปัจจุบันเข้าไว้ด้วยกัน ก่อนหน้านี้นิทรรศการดังกล่าวจัดแสดงอย่างยิ่งใหญ่ ณ LV The Place กรุงเทพมหานครของเรา ครั้งนี้รูปแบบการเล่าเจาะลึกไปถึงการเดินทางมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่คอนเซปต์ “From Asnières to the Sea” สู่การเดินทางตั้งแต่กรุงปารีสมาจนถึงผลงานทรังก์ไอคอนิกที่สะท้อนภาพการเดินทางเรือ นอกจากนี้ยังมีคอนเซปต์เกี่ยวกับการเดินทางมากมาย เรื่อยไปจนถึงการสำรวจและนำเสนอประวัติศาสตร์ของเมซง ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมเจาะลึกถึงเวิร์กช็อปที่เป็นดั่งจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ คอนเซปต์การจัดแสดงนิทรรศการครั้งนี้จึงเปี่ยมด้วยมนต์เสน่ห์ของการเดินทางพร้อมหลุยส์ วิตตอง ไปจนถึงรากฐานสำคัญที่มั่นคงจนทำให้เมซงยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งจวบจนปัจจุบันและจะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปในอนาคต

- THE ANNIVERSARY OF HIGH-FASHION
ประวัติศาสตร์หลัก 2 ทศวรรษอาจไม่ได้รู้สึกยาวนาน แต่สำหรับ Giorgio Armani ถือเป็นช่วงเวลาแสนพิเศษที่เขาก้าวเข้าสู่จักรวาลโอตกูตูร์อย่างเป็นทางการภายใต้ชื่อ “Armani Privé” ซึ่งนำมาสู่การจัดนิทรรศการเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีของไลน์โอตกูตูร์ภายใต้ชื่อแสนเรียบง่ายว่า “Giorgio Armani Privé 2005-2025” และจัดขึ้น ณ Armani/Silos สถานที่สำคัญของแบรนด์ใจกลางเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี มีการรวบรวมผลงานตัดเย็บชั้นสูงมากถึง 150 ชิ้น และความพิเศษคือผลงานถูกจัดแสดง ณ เมืองมิลาน เพราะโดยปกติผลงานดังกล่าวจะถูกนำเสนอบนรันเวย์ระหว่างช่วงปารีสโอตกูตูร์แฟชั่นเสมอมา นวัตกรรม ความสร้างสรรค์ และงานฝีมือชั้นยอด คือองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้อาร์มานีประสบความสำเร็จในไลน์โอตกูตูร์เป็นอย่างมาก และยังเป็นแบรนด์ที่ยึดตารางเวลาในช่วงแฟชั่นวีกไว้อย่างเหนียวแน่น วิธีการบอกเล่าเรื่องราวท่ามกลางบรรยากาศของอาร์มานีแบบ 360 องศา ทำให้ทุกคนได้สัมผัสถึงการเฉลิมฉลองความสำเร็จตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ชื่อเสียงของจอร์โจ อาร์มานีที่โด่งดังมาอย่างยาวนาน ถูกเพิ่มเติมด้วยไลน์โอตกูตูร์และสานต่อความยิ่งใหญ่เรื่อยมา นิทรรศการครั้งนี้จึงเหมือนเครื่องมือสื่อสารถึงเอกลักษณ์ แนวทางเชิงศิลป์ เรื่อยไปจนถึงการเตรียมพร้อมเพื่อจารึกประวัติศาสตร์ต่อไปในอนาคตโดยแท้จริง
นิทรรศการมากมายเกิดขึ้นพร้อมการบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกัน บ้างก็มุ่งเน้นจัดแสดงความยิ่งใหญ่ของดีไซเนอร์ การเฉลิมฉลองความสำเร็จของแบรนด์ในห้วงเวลาอันยาวนาน บ้างก็เป็นการสนับสนุนโลกศิลปะเพื่อสะท้อนจุดยืนที่แข็กแกร่งในมิติที่อาจไม่ใช่แฟชั่นโดยตรง หรือจะเป็นการสนับสนุนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลป์กึ่งแฟชั่นที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมแฟชั่นตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงผลงานอันทรงคุณค่า นอกจากเรื่องมูลค่า ความหรูหรา และความหายาก ยังมีเรื่องของคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่เป็นดั่งรากฐานของโลกแฟชั่น จิวเวลรี นาฬิกา และศิลปะ ซึ่งอาจรวมถึงชีวิตดีไซเนอร์และการเดินทางของแบรนด์ตลอดหลายทศวรรษ