'Black Tie' ซิงเกิ้ลใหม่ล่าสุดจากศิลปินขึ้นหม้อมากความสามารถอย่าง Jeff Satur ที่ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่านัยหนึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของผลงานด้านดนตรีที่เจฟสามารถสร้างปรากฏการณ์มาได้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ทว่าอีกนัยหนึ่งยังสะท้อนให้เห็นถึงการเชื่อมโยงโลกแฟชั่นเข้ากับโลกของดนตรีได้อย่างไร้รอยต่อและแนบสนิทที่สุดครั้งหนึ่งบนหน้าประวัติศาสตร์ จากแรงบันดาลใจจากคอลเล็กชั่นของแบรนด์ Valentino ในชื่อเดียวกันกับเพลงดังกล่าว ซึ่งได้รับการอนุมัติโดยดีไซเนอร์หัวเรือใหญ่ของแบรนด์อย่าง Pierpaolo Piccioli นำไปสู่การสร้างสรรค์เสื้อผ้างานตัดเย็บระดับโอตกูตูร์สั่งตัดพิเศษที่ปรากฏอยู่ในมิวสิกวิดีโอเพลงดังกล่าว ซึ่งตอนนี้มียอดผู้ชมกว่า 6.6 แสนผู้ชมแล้ว ฉายภาพวงโคจรของโลกแฟชั่นและโลกดนตรีที่สามารถมาบรรจบกันได้จริง

     หนึ่งสิ่งสำคัญที่เราทุกคนผู้เป็นคนเสพแฟชั่นทุกแขนงต้องยอมรับให้ได้ ก็เห็นจะเป็นความจริงที่ว่า เรื่องของแฟชั่นมิได้ถูกเสพเพียงเพราะว่ามันคือแฟชั่นอีกต่อไป  หากแฟชั่นในยุคปัจจุบันทำหน้าที่ขับเคลื่อนควบคู่ไปกับสิ่งที่เรียกว่า Pop-Culture หรือวัฒนธรรมป็อป อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เห็นได้ชัดจากการเข้ามามีบทบาทของเหล่าศิลปิน K-Pop มากหน้าหลายตา ที่เข้ามาพลิกเกมแฟชั่นจากหน้ามือเป็นหลังมือ ถือกำเนิดการรายงานข่าวในประเด็นความดังและกระแสของเหล่าศิลปินเอเชียนที่บินลัดฟ้าไปเยือนแฟชั่นวีกว่าในแต่ละซีซั่น ใครจะช่วงชิงพื้นที่โลกออนไลน์ได้มากกว่ากัน

     และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ 4 สาวสมาชิกวง BLACKPINK ซึ่งนับเป็นศิลปินเคป็อปกลุ่มแรกที่ได้ทำงานร่วมกับแบรนด์แฟชั่นระดับตำนานรายบุคคลแบบครบทุกคน จนกลายเป็นต้นแบบของการเดินเกมของศิลปินวงอื่นๆ ตามมาในละแวกภูมิภาคเอเชียนี้ หนึ่งในโมเมนต์สำคัญที่เห็นได้ชัดมากกว่าแค่การสวมใส่เสื้อผ้าตามแบรนด์ที่ตัวเองสังกัดของทั้ง 4 สาว BLACKPINK ทุกครั้งที่มีการโปรโมตผลงานของพวกเธอ ก็คือโมเมนต์การปรากฏตัวของ เจนนี่ BLACKPINK ที่แฟชั่นโชว์แบรนด์ CHANEL คอลเล็กชั่น Métier d'Arts 2022/2023 ที่จัดขึ้นที่กรุงโตเกียว เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ในฐานะของ House Ambassador พร้อมจับไมค์ร้องเพลง Fly Me To The Moon หลังจบโชว์ เปลี่ยนบรรยากาศของแฟชั่นโชว์ชาเนลให้น่าสนใจไปอีกแบบ

     อนึ่ง แฟชั่นกับดนตรีไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยเพียงแค่ศิลปินเอเชียนเท่านั้น เพราะหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นที่กล้าทลายกรอบความจำเจ และพาตัวเองก้าวเท้าเข้าไปเล่นในสนามของวัฒนธรรมป็อป ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับ Louis Vuitton ที่ดึงตัว Pharrell Williams มาร่วมงานในฐานะของผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ฝั่งเสื้อผ้าผู้ชาย ที่เพียงแค่โชว์แรกของเขาก็สร้างไวรัลและความประหลาดใจให้กับคนแฟชั่นไม่น้อย ทั้งความครบครันของแฟชั่นโชว์ที่มีทั้งเสื้อผ้าบนรันเวย์, ปาร์ตี้หลังจบโชว์ เรื่อยไปจนถึงแขกฟรอนต์โรว์ที่มีทั้ง Beyoncé, Rihanna และนักร้องตัวท็อประดับโลกอีกมากมาย ซึ่งเป็นผลพวงมาจากคอนเน็กชั่นในอุตสาหกรรมดนตรีอันเป็นกำพืดของฟาเรลล์โดยตรง จึงอาจกล่าวได้ว่าการมาถึงของฟาเรลล์ที่แบรนด์หลุยส์ วิตตอง คือหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของแบรนด์แฟชั่นลักชัวรี ที่ทั้งท้าทายและทลายกำแพงตัวเองสู่โลกวัฒนธรรมป็อปโดยสมบูรณ์

     นอกเสียจากการทำงานควบคู่แนบสนิทของโลกแฟชั่นและดนตรีในมิติที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น อีกหนึ่งมิติที่น่าสนใจก็เห็นจะหนีไม่พ้น 'ทัวร์คอนเสิร์ต' ของเหล่าตัวแม่ในอุตสาหกรรมดนตรี ซึ่งบัดนี้ได้เปลี่ยนหน้าเป็นสนามแข่งขันงานดีไซน์คอสตูมของเหล่าดีไซเนอร์คนดังอย่างไม่ต้องสงสัย เริ่มจาก The Renaissance Tour ของบียอนเซ่ ที่ส่งผลให้ความสนใจทางออนไลน์เกี่ยวกับคำค้นหา "รองเท้าบู๊ตคาวบอยเมทัลลิก" เพิ่มขึ้น 488 เปอร์เซ็นต์ หลังจากคืนแรกของทัวร์คอนเสิร์ต และใน Google ซึ่งเพิ่มขึ้น 300 เปอร์เซ็นต์ ทั่วโลก รวมไปถึงการค้นหาคำว่า "คาวบอยดิสโก้ หมวก" ซึ่งเพิ่มขึ้น 525 เปอร์เซ็นต์ เช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้สอดคล้องกับลุคของ The Renaissance World Tour อีกทั้งคำค้นหา 'Renaissance tour outfits' บน Google ยังพุ่งทะยานสูงถึง 658 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนปรากฏการณ์ความสำเร็จของจริง เช่นเดียวกับ The Eras Tour ของ Taylor Swift กับประเด็นของชุดคอสตูมที่เทย์เลอร์เลือกสวมใส่ในแต่ละเมืองนั้นก็สร้างแรงกระเพื่อมบนโลกออนไลน์ได้ไม่น้อย

     ทั้งหมดที่ผู้เขียนเล่ามานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการฉายภาพกว้างให้ผู้อ่านได้เห็นว่า ในโลกปัจจุบันนี้แฟชั่นมิได้ทำงานเพื่อแฟชั่นเท่านั้น แต่ยังทำงานควบคู่ไปกับวัฒนธรรมป็อป โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเพลงได้อย่างน่าสนใจ และจะยังไม่จบลงเพียงเท่านี้แน่นอน