ยังคงประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรี่ส์ตีแผ่ราชวงศ์อังกฤษทาง Netflix เรื่อง The Crown ซึ่งตอนนี้ดำเนินมาถึงซีซั่นที่ 5 แล้วเรียบร้อย และเปิดตัวไปอย่างสวยงามเมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2022 ที่ผ่านมา พร้อมกวาดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งแง่บวกและแง่ลบไปได้อย่างล้นหลามเช่นเคย โดยในซีซั่นที่ 5 นี้ บอกเล่าเรื่องราวช่วงปี 1990 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่ราชวงศ์อังกฤษต้องพบเจอกับปัญหามากมาย ถือเป็นช่วงเวลาอันเลวร้ายที่สุดในยุคแห่งราชวงศ์วินด์เซอร์ก็เป็นได้

     หนึ่งในเรื่องราวที่เป็นไฮไลต์สำคัญของซีรี่ส์ที่ถูกหยิบยกมาเล่าในคราวนี้ก็เห็นจะหนีไม่พ้น ‘รักสามเส้า’ ของเจ้าหญิงไดอาน่า เจ้าชายชาร์ลส์ และคามิลลา พาร์เกอร์โบลส์ ในเวลานั้น ซึ่งหลายคนที่ได้ดูจนจบซีซั่นแล้วก็คงจะเห็นว่า ทีมงานของซีซั่นนี้ได้เล่าถึงความสัมพันธ์ของทั้ง 3 คนเอาไว้ได้อย่างเข้มข้น ตั้งแต่เบื้องหลังของการหย่าร้างของมกุฎราชกุมาร และเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ไปจนถึงรายละเอียดยิบย่อยที่ทำการบ้านมาอย่างดีจากแหล่งข้อมูลจำนวนมาก

     (ตามไปอ่านเรื่องราวเกี่่ยวกับ War of Wales ต่อได้ที่ สงครามแห่งเวลส์! เมื่อเจ้าชายชาลส์ และไดอาน่าลุกขึ้นสู้ เปิดศึกสาดโคลนผ่านสื่อระดับโลก)

     ในตอนท้ายของซีซั่นที่ 5 นั้นเราคงได้เห็นแล้วว่าตัวละครเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ได้หย่าร้างกันแล้วอย่างเป็นทางการ และเรื่องราวก็ก้าวเข้าสู่ยุคของนายกรัฐมนตรี โทนี่ แบลร์ แล้วเรียบร้อย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ใกล้กับเหตุการณ์สุดสลดบนหน้าประวัติศาสตร์กับการจากไปของเจ้าหญิงไดอาน่า ที่จะถูกเล่าต่อในซีซั่นที่ 6 ซึ่งเป็นซีซั่นสุดท้ายของซีรี่ส์เรื่องนี้อย่างแน่นอน ทว่าก็ทำให้หลายคนต่างเกิดคำถามว่า หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ทางทีมงานจะมีการถ่ายทำฉากการเสียชีวิตของไดอาน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ และแฟนหนุ่ม Dodi Fayed ทายาทเจ้าของห้างสรรพสินค้า Harrods หรือไม่

     ล่าสุด ผู้สร้างซีรี่ส์สุดเข้มข้นเรื่องดังกล่าวอย่าง Peter Morgan ก็ได้ออกมาเผยแล้วว่า “ในซีซั่นหน้าจะมีการเล่าถึงเหตุการณ์การเสียชีวิตของไดอาน่าอย่างแน่นอน ทว่าจะไม่มีการถ่ายทำฉากอุบัติเหตุแต่อย่างใด หากแต่จะเปลี่ยนเป็นแสดงให้เห็นไดอาน่าและโดดี้โดดขึ้นรถออกจากโรงแรมหลังเวลาเที่ยงคืนตามการรายงานข่าวในค่ำคืนอันแสนโหดร้าย โดยมีเหล่าปาปารัสซี่ขับรถไล่ตามถ่ายภาพเท่านั้น และเราจะตัดเข้าสู่ฉากของเอกอัครราชทูตแห่งอังกฤษและฝรั่งเศสที่กระทรวงการต่างประเทศแทน” ทั้งนี้ปีเตอร์รู้ดีว่าเรื่องราวดังกล่าวเป็นเรื่องที่อ่อนไหวมากพอสมควร จึงมีการคิดวางแผนเอาไว้แล้วอย่างรอบคอบ เฉกเช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่อง The Queen ในปี 2006 ที่เลือกใช้ฟุตเทจจริงตัดสลับกับเนื้อหาภาพยนตร์แทนการถ่ายทำ เพื่อให้เกียรติแก่ผู้ล่วงลับ