LIFESTYLE
ทำไม The Boy in the Striped Pyjamas ถึงอาจเป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและยอดแย่ในเวลาเดียวกันความโหดร้ายในค่ายกักกันกำลังถูกนำเสนออย่างบิดเบือน และนั่นเป็นเหตุผลให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้ถูกยกขึ้นหิ้งอย่างที่ควรจะเป็น |
The Boy in the Striped Pyjamas ถือเป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องสงคราม โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับค่ายกักกันได้อย่างลึกซึ้งกินใจ หลายคนยกให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์สุดหดหู่ที่สร้างแรงกดดันมหาศาลด้วยบทพูดของเด็กน้อยไร้เดียงสาวัย 8 ขวบ เพียง 2 คน เด็กน้อยในชุดนอนลายทางกลายเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นความโหดร้ายแง่มุมหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านแผ่นฟิล์ม เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายครั้งแรกในปี 2008 มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมาย และมันกลายเป็นภาพยนตร์ที่มุมหนึ่งก็อาจเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลเรื่องหนึ่ง แต่ในทางกลับกันมันอาจจะเป็นภาพยนตร์สงครามที่ย่ำแย่ในด้านเนื้อหาที่สุดเรื่องหนึ่งเช่นกัน
ภาพ: Prime Video
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากวรรณกรรมในชื่อเดียวกันของ John Boyne โดยเส้นเรื่องหลักคือครอบครัวของทหารยศสูงหน่วย SS ต้องย้ายจากเบอร์ลินไปเพื่อดูแลค่ายกักกัน โดยที่ลูกสาวและลูกชายวัยเพียง 12 และ 8 ปีตามลำดับ ต้องไปด้วย ภาพยนตร์บอกเล่าความไร้เดียงสาของเด็ก แง่มุมชีวิตที่ความโหดร้ายอยู่เพียงเอื้อม แต่กลับใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวพร้อมคำถามมากมาย ภาพยนตร์ใช้สัญลักษณ์อย่างชุดลายทางเป็นเหมือนเครื่องหมายหลักในการแบ่งแยกผู้คน เฉกเช่นเดียวกับชุดคุมขังในค่ายกักกันจริงๆ เด็กน้อยสงสัยเพียงว่าทำไมฟาร์มหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าถึงมีลักษณะแปลกๆ มีกลิ่นเหม็น และคนในนั้นใส่ชุดนอนตลอดเวลา เรื่องราวเหล่านี้เล่นกับความรู้สึกคนทั่วโลกที่ทราบเหตุการณ์และรู้โดยทันทีว่าพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ค่ายกักกันอันมีกิจกรรมแสนโหดเหี้ยมเกิดขึ้นเต็มไปหมด
ภาพ: The Guardian
ความยอดเยี่ยมที่หลายคนพูดถึงคือการบอกเล่าเรื่องราวพร้อมความกดดันโดยใช้บทพูด สถานที่ รวมถึงเวลาได้อย่างเหมาะเจาะ อีกทั้งการหักมุมโดยใช้ความเป็นเด็ก วิธีสร้างช่วงเวลาแสนหดหู่ก็ทำได้อย่างน่าชื่นชม มันแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงครามที่ไม่ใช่การรบราฆ่าฟัน แต่หมายถึงการลิดรอนสิทธิชาติพันธุ์อื่น การโฆษณาชวนเชื่อ และแน่นอนว่าการปิดบังความจริงต่อสังคม ไม่เว้นแม้กระทั่งคนในครอบครัว ความเลวร้ายทุกอย่างค่อยๆ ทวีคูณ และเผยให้เห็นธาตุแท้ของความโหดร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่เคยคิดว่ามันสวยงาม อาจกำลังรู้คำตอบ และไม่มีโอกาสรอดชีวิตออกมาทำความเข้าใจโลกใหม่เหมือนกับบรูโน่ (ตัวละครเอก)
WATCH
ภาพ: The Independent
แล้วอะไรคือความย่ำแย่ที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกตราหน้าและห้ามฉายในเชิงการศึกษา แม้เรื่องราวจะเล่าได้อย่างเข้มข้น มีการสื่ออารมณ์ผ่านบทพูด สีหน้าแววตา รวมถึงบรรยากาศรอบๆ ได้อย่างดี แต่ข้อวิจารณ์หลักที่ The Boy in the Striped Pyjamas โดนเต็มๆ คือเรื่องการบิดเบือนประวัติศาสตร์ เราเห็นเด็กน้อยมีโอกาสเล่นกันข้างรั้วค่ายกักกัน ซึ่งความจริงมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเด็กส่วนใหญ่มักถูกปลิดชีวิตทันทีหลังจากเดินทางมาถึงค่ายกักกัน และความจริงดังกล่าวก็ถูกบิดเบือนไป อีกทั้งเมื่อมันถูกนำเสนอในแง่ภาพยนตร์ที่มีกลิ่นอายความหม่นหมอง ต้องการเล่าความโหดร้ายของค่ายกักกันมันจึงมีอิทธิพลอย่างมากให้คนรุ่นใหม่เข้าใจประวัติศาสตร์ผิดเพี้ยน หรืออาจจะเริ่มผิดเพี้ยนจากตรงนี้ พวกเขาไม่ได้ศึกษาข้อเท็จจริง แต่จะเริ่มเชื่อด้วยอารมณ์ความอ่อนไหวมากขึ้น เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่เป็นการศึกษาวิจัยสำคัญโดยศูนย์การเรียนรู้ด้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ University College London
ภาพ: OtakuArt
การบอกเล่าเรื่องราวที่รวบรัดและใช้ฐานความรู้เดิมของผู้ชมเป็นที่ตั้งอาจไม่ตอบโจทย์เสมอไป ต้องบอกว่าภาพยนตร์เล่าเรื่องด้วยวิธีที่ทำเหมือนผู้ชมทุกคนรู้เรื่องราวที่แท้จริงมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ผู้สร้างจึงหยิบเรื่องอารมณ์ความรู้สึกมาเล่าและไม่แสดงให้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสลับไปมามากนัก คนรุ่นใหม่และผู้ใหญ่หลายคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราวอย่างละเอียด พอชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เกิดฐานความรู้ที่อาจเข้าใจว่า ชาวเยอรมันไม่รับรู้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสารคดีหลายเรื่องย้อนกลับไปค้นบันทึกประวัติศาสตร์ก็ทราบว่าส่วนใหญ่ชาวบ้านละแวกค่ายรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และเต็มใจใช้เชลยเหล่านั้นด้วย (อาจมีบางกลุ่มที่ไม่รับรู้หรือรู้แต่ต่อต้านการกระทำดังกล่าวอย่างเปิดเผย) ซึ่งครอบครัวบรูโน่ถูกวางบทให้ไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง นอกจากนี้บางคนอาจคิดว่าเชลยศึกถูกหลอกเพราะโฆษณาชวนเชื่อ ทั้งๆ ที่พวกเขาโดนบังคับขู่เข็ญให้มาที่นี่ ความสับสนทั้งหมดเกิดขึ้นจริงและมีผลต่อแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์อย่างมาก ทางพิพิธภัณฑ์ Auschwitz-Birkenau ถึงขั้นระบุว่าหนังสือและภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหากไม่อยากพลาดการรับรู้ความจริง เพราะถูกอารมณ์ความรู้สึกครอบงำเลยทีเดียว
ภาพ: Netflix
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่ต่างจากการบิดเบือนความจริงเพื่อสร้างเรื่องราวที่บีบคั้นอารมณ์คือเรื่องการนำเสนอเรื่องราวด้วยวิธี “Romanticize” และหยิบเอาเรื่องราวของค่ายกักกันมาเป็นเรื่องเศร้าของครอบครัวนาซี เหมือนกับหยิบเอาเรื่องความโหดร้ายในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงมาบิดเบือนเพื่อทำให้สอดคล้องกับมุมมองของเด็กน้อยชาวอารยันที่อยู่ในครอบครัวผู้ขูดรีดและกระทำโหดร้ายกับชาวยิว และเมื่อมันเป็นภาพยนตร์สุดโด่งดังมันยิ่งมีอิทธิพลในวงกว้าง ดังนั้นมันจึงเป็นสื่อที่เผยแพร่ความเห็นอกเห็นใจต่อครอบครัวผู้กระทำผิดมากกว่าเหยื่อเสียอีก ด้วยเหตุผลเหล่านี้ภาพยนตร์ดังกล่าวจึงได้รับคะแนนจากนักวิจารณ์ในระดับกลางๆ เท่านั้น แม้มันจะเล่าเรื่องได้อย่างเฉียบคมก็ตาม
ภาพ: RAREMEAT
สุดท้ายต้องทำความเข้าใจว่า The Boy in the Striped Pyjamas ไม่ใช่สารคดี ดังนั้นมันถูกสร้างขึ้นเพื่อเล่าเรื่องคล้ายนิยายภาพเคลื่อนไหวมากกว่า การตัดสินด้วยหลักเหตุผลความเป็นจริงเพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้เข้ากับเป้าหมายของการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ และอย่างน้อยภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำให้เราเห็นว่าในสถานการณ์โหดร้ายดังกล่าวอาจมีผู้คนหลายกลุ่มกำลังเผชิญกับภาระทางจิตใจที่แตกต่างกันไป หรือแม้แต่ความว้าเหว่ของเด็กชายคนหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสงคราม ทว่าในทางกลับกันก็ต้องคำนึงถึงเรื่องการผลิตสื่อด้วย เพราะเรื่องราวในภาพยนตร์จะเป็นเพียงเรื่องแต่ง แต่การสร้างให้มีความสมจริง ใช้เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์มาเล่านั้นอาจส่งผลกระทบด้านการเรียนรู้ในวงกว้าง เพราะฉะนั้นหากถามว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ยอดเยี่ยมหรือไม่ก็คงตอบได้อย่างชัดเจนว่า The Boy in the Striped Pyjamas เป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม แต่ก็เป็นสื่อบันเทิงที่หยิบยกเอาเรื่องราวประวัติศาสตร์มาเล่าได้ยอดแย่เช่นกัน หากใครต้องการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีข้อเสนอแนะว่าควรทำความเข้าใจเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นก่อน มิเช่นนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้อาจพาเราท่องไปในโลกแห่งจินตนาการที่หยิบเอาความจริงอันโหดร้ายมาสร้างอารมณ์ความจิตตกให้เราได้เสพกันโดยอาจละเลยความรู้สึกของผู้เป็นเหยื่อในเหตุการณ์นั้น หรือพูดง่ายๆ ว่าเอาประสบการณ์ชีวิตในขุมนรกมาหากิน แต่ถ้าถามอีกว่าแล้วเมื่อเป็นเช่นนี้เรายังควรชมอยู่หรือไม่ ตอบเลยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างน้อยก็ดีเกินกว่าจะพลาดชมสักครั้งในชีวิต อย่างน้อยมันก็อาจทำให้เราอยากจะศึกษาเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างลึกซึ้งมากขึ้นด้วยเช่นกัน
WATCH