LIFESTYLE

นี่คือ 6 เบื้องหลังของภาพยนตร์ Pretty Woman ที่ได้รู้แล้วจะต้องตกใจ!

ภาพยนตร์ขวัญใจชมรมคนรักความโรแมนติกมีเบื้องหลังแปลกๆ อยู่เพียบ

     Pretty Woman เป็นภาพยนตร์รักโรแมนติกที่ยืนหนึ่งในใจใครหลายคน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต่างก็หลงใหลไปกับเรื่องราวดั่งเทพนิยายที่มีเศรษฐีหนุ่มผู้ร่ำรวยและนิสัยดีก้าวเข้ามาฉุดหญิงสาวขึ้นจากหลุมชีวิตและได้ตกหลุมรักกันในที่สุด แม้จะฟังดูเป็นพล็อตเรื่องที่เชยเฉิ่มแต่รู้ตัวอีกทีเราก็มักจะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาดูแก้เครียดกันบ่อยครั้ง หากภาพยนตร์รักโรแมนติกเรื่องนี้กลับมีเบื้องหลังความเป็นมาที่คาดไม่ถึงอีกเพียบ บางเรื่องที่คุณรู้แล้วก็จะอึ้งไปเหมือนกันกับเรา ตามมาดูกันว่าจะมีเรื่องอะไรบ้าง

ภาพ: Time

     1. เป็นที่รู้ๆ กันว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ทำออกมาเป็นเชิงรักโรแมนติกฝันหวานระหว่างชายผู้ร่ำรวยและโสเภณีสาวตกถังข้าวสาร ที่ตอนจบนั้นพระนางได้ครองรักกันอย่างหวานฉ่ำในที่สุด แต่รู้หรือไม่ว่าตอนจบตามสคริปต์แบบฉบับดั้งเดิมนั้นไม่ได้แฮปปี้เอนดิ้งแบบที่ทุกคนได้รับชม เพราะพระเอกของเรื่องอย่าง Edward Lewis นั้นโยนนางเอกอย่าง Vivian Ward ลงจากรถหลังใช้เวลากับเธอทั้งอาทิตย์ พร้อมจ่ายเงินจำนวนหนึ่งตามค่าบริการของเธอ นับว่าฝันหวานคงล่มสลายและตัวภาพยนตร์คงจะไม่ได้เป็นที่นิยมเท่านี้ ถ้าโปรดิวเซอร์เลือกจบภาพยนตร์ดาร์กๆ ตามเส้นทางเดิม

ภาพ: IMDB

     2. จำนวน 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ คือเงินที่พระเอกและนางเอกตกลงค่าตัวกันไว้เรียบร้อยในตอนแรก นั่นจึงเป็นที่มาแรกสุดของชื่อภาพยนตร์ว่าจะใช้เป็น 3,000$ ซึ่งตัวบทเองก็เป็นคนละแนวกับที่วางเอาไว้เพราะมันดาร์กกว่านั้นมาก วิเวียนเป็นโสเภณีสาวจริงแต่เธอก็ติดยาด้วยเช่นกัน และความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ก็เกิดขึ้นเพราะผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย วิเวียนได้เงินค่าตอบแทนแล้วใช้มันไปกับการเที่ยวที่ดิสนีย์แลนด์ ส่วนเอ็ดเวิร์ดก็ได้ความสุขชั่วคราวกลับไป กระทั่งค่ายดิสนีย์เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้าง จึงปรับเปลี่ยนสคริปต์ให้ดูเป็นแฟรี่เทลฉบับโมเดิร์นมากขึ้น และเปลี่ยนมาใช้ชื่อภาพยนตร์ว่า Pretty Woman แทน



WATCH




ภาพ: MarieClair

     3. คาแร็กเตอร์วิเวียนนั้นเป็นสาวเปิดเผย ยิ่งเวลาเธอยิ้มหรือหัวเราะก็มักจะเปิดปากกว้างแบบจริงใจและน่าชม นั่นจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้จูเลียได้ฉายาในภาษาไทยว่าผู้หญิงบานฉ่ำ แต่นักแสดงตัวจริงอย่างจูเลียนั้นกลับเป็นคนหัวเราะค่อนข้างยากถ้าเธอไม่รู้สึกขำกับเหตุการณ์จริงๆ ผู้กำกับ Garry Marshall จึงต้องจั๊กจี้ที่เท้าเธอในฉากหนึ่งเพื่อให้เธอได้หัวเราะออกมาจริงๆ โดยมีอีกฉากสุดโด่งดังคือตอนที่เอ็ดเวิร์ดโชว์สร้อยเพชรในกล่องให้วิเวียนดู เขาแกล้งเธอด้วยการงับฝากล่องลงมา เล่นเอาจูเลียตัวจริงตกใจหลุดขำออกมาอย่างธรรมชาติที่สุด และกลายมาเป็นฉากที่ใครๆ ก็ชื่นชอบมากที่สุดด้วยเช่นกัน 

ภาพ: Vogue France

     4. เมื่อพูดถึงสร้อยเพชรชิ้นนี้แล้ว ในชีวิตจริงมีราคาสูงถึง 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 8 ล้านกว่าบาท ทางโปรดักชั่นเองมีงบประมาณในการถ่ายทำ 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนับว่าไม่ได้มากพอที่จะใช้จ่ายต้นทุนอื่นๆ จ่ายค่าตัวนักแสดง รวมไปถึงลงทุนซื้อเครื่องประดับชิ้นนี้ในการเข้าฉาก แต่โชคดีว่าที่ช็อปเครื่องเพชรนั้นยินยอมให้ใช้ในการถ่ายทำได้ แต่มีข้อแม้ที่ค่อนข้างยุ่งยากในการใช้งานและดูแลรักษา ไปจนถึงว่าต้องไปพร้อมกับการ์ดอีกหนึ่งจำนวนในการดูแลปกป้องสร้อยเพชรชิ้นนี้โดยเฉพาะเลยด้วย 

ภาพ: Marie Clair

     5. ฉากแรกที่วิเวียนได้เจอกับเอ็ดเวิร์ดนั้น เธอมีผมสีทองตัดสั้นทรงบ๊อบ กระทั่งหลังจากนั้นไม่นานพระเอกจึงได้รู้ว่ามันคือวิกผมปลอม และผมของเธอจริงๆ ก็มีสีแดงประกายแดดหยิกและยาวสยายที่ถือว่าเป็นทรงผมไอคอนิกสุดๆ ในยุคนั้น โดยระหว่างการถ่ายทำนักแสดง Julia Roberts ต้องย้อมผมจากสีดำธรรมชาติของเธอเป็นสีแดง ปัญหาที่ตามมาก็คือฉากที่เธอนอนแช่อยู่ในอ่างน้ำพร้อมฟังเพลงอย่างสบายใจนั้น เบื้องหลังคือความยุ่งเหยิงสุดๆ เพราะสีผมของเธอดันร่อนออกมาจนทั้งอ่างกลายเป็นสีแดง ทำให้ทีมงานต้องถ่ายทำฉากนี้กันใหม่อีกหลายครั้ง และต้องย้อมผมเธอใหม่อีกหลายรอบกลางกองถ่าย

ภาพ: IMDB

     6. ในภาพยนตร์มีหลายชุดที่กลายมาเป็นไอคอนิกที่ใครๆ ต่างก็ต้องพูดถึง หนึ่งในนั้นคือชุดเดรสยาวสีแดงเพลิงเปลือยไหล่ที่วิเวียนใส่ยามไปดูโอเปร่ากับเอ็ดเวิร์ด ซึ่งก่อนที่จะตกลงใช้สีนี้มาก็มีการถกเถียงกันอย่างยาวนาน เพราะทางค่ายต้องการใช้เดรสสีดำที่ดูเรียบหรูมากกว่านี้ แต่คอสตูมดีไซเนอร์ของเรื่องอย่าง Marilyn Vance ยืนกรานว่าอย่างไรก็ต้องเป็นสีแดงเท่านั้น เพราะคาแร็กเตอร์วิเวียนไม่เหมือนใครและต้องแตกต่างกว่าคนอื่นๆ ต่อมาจึงมีการลองชุดในอีกหลายสีกระทั่งมาตกลงกันที่สีแดง ส่วนโอเปร่าที่ทั้งคู่ไปชมนั้นคือเรื่อง La Traviata ที่เกี่ยวกับโสเภณีสาวตกหลุมรักเศรษฐีหนุ่ม และเดาว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน

ข้อมููล : Cosmopolitan, Collider

WATCH