เราคงต้องบอกว่า “นิทานอีสปให้ข้อคิดกับผู้ฟังฉันใด ดิสนีย์ต่างก็สร้างข้อคิดให้คนดูฉันนั้น” เพราะเมื่อเราได้ย้อนกลับไปสัมผัสกับโลกของดิสนีย์ผ่านผลงานต่างๆ ทั้งแอนิเมชั่น บทละคร ไปจนถึงภาพยนตร์ต่างๆ ที่ทีมงานได้รังสรรค์ขึ้นมา เราต่างก็พบว่าเรื่องราวเหล่านั้นเเฝงไปด้วยข้อคิดหรือเเง่มุมความคิดไว้ให้เราได้ค้นหาเสมอ เช่นเดียวกับการ์ตูนในดวงใจของเหล่าเด็กทั่วโลกอย่าง “The Little Mermaid” ในแบบฉบับแอนิเมชั่นตั้งเเต่ปี 1989 ที่ถึงเเม้เทคโนโลยีในด้านโปรดักชั่นจะยังไม่โดดเด่นเท่าปัจจุบัน เเต่ดิสนีย์กลับสร้างสรรค์เรื่องราวเเละเหล่าตัวละครให้มีชีวิตอยู่ในห้วงความทรงจำมาอย่างยาวนาน และไม่เพียงตัวละครเอกอย่างแอเรียลและเอริคเท่านั้นที่ยังฝังรากลึกอยู่ในห้วงความทรงจำ แต่ในขณะเดียวกันข้อคิดที่ดิสนีย์สอดเเทรกไว้ยังคงอยู่เช่นกัน

 

 

     โดยในเวอร์ชั่นแรกของ The Little Mermaid นั้นอาจเป็นการวาดฝันถึงชีวิตเหนือจินตนาการของนางเงือกสาวที่ต้องการใช้ชีวิตเฉกเช่นมนุษย์ แต่ด้วยความห่วงใยของผู้เป็นพ่อทำให้ท้ายที่สุดแอเรียลก็ต้องฝ่าฝืนและพึ่งพามนต์ดำของเออร์ซูล่าเพื่อให้ได้ทำตามฝัน เเต่บทสรุปของการตัดสินใจเช่นนั้นกลับนำพามาซึ่งความเสียใจเเละความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นการถูกพลัดพรากหรือการสูญเสียที่ต้องพบเจอ แต่ถึงแม้เรื่องราวของแอเรียลจะยุ่งเหยิงมากเพียงใด ในฉากจบสุดท้ายดิสนีย์ก็ได้สานฝันให้แอเรียลได้เจ้าชายขี่ม้าขาวอย่างเอริคเข้ามาคลี่คลายและได้ครองรักกันในแบบฉบับการ์ตูนสำหรับครอบครัวเเละเด็กนั่นเอง

 

 

     แต่เมื่อโลกหมุนเปลี่ยนไปหลายบทบาทของหลากตัวละครต่างก็ถูกตีความขึ้นมาใหม่ ทั้งยังสอดเเทรกประเด็นสังคมต่างๆ ที่มากกว่าข้อคิดให้คนดูได้คิดตาม และอย่างที่เรารู้กันดีว่าในภาพยนตร์เรื่อง The Little Mermaid ในปี 2023 นี้แอเรียลก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งคาแร็กเตอร์ที่ถูกตีความขึ้นมาในอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสีผิว รูปลักษณ์ สีผม ต่างก็ถูกอ้างอิงจากความเป็นจริงมากขึ้น จนทำให้เหล่าแฟนดิสนีย์ต่างไม่พอใจในช่วงเเรกกันเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวนี้จะสร้างขึ้นภายใต้กระเเสดราม่าต่างๆ อย่างหนักหน่วง เเต่เมื่อภาพยนตร์ได้เข้าฉายในโรงเป็นที่เรียบร้อย หลายฝ่ายต่างก็เลือกที่จะมองข้ามการเปลี่ยนแปลงของตัวละครหลัก เเละสัมผัสกับประสบการณ์ทางภาพยนตร์ในอีกรูปแบบซึ่งน่าประทับใจไม่แพ้กับเวอร์ชั่นเดิม 

 

 

     และไม่เพียงตัวละครหลักจะถูกเปลี่ยนแปลงเท่านั้น เเต่ในเวอร์ชั่นคนแสดงนี้ฉากจบของเรื่องก็ถูกเปลี่ยนไปเช่นกัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ทำให้เราเห็นภาพใหม่ๆ ของเจ้าหญิงดิสนีย์ยุคดั้งเดิมที่อาจจะต้องรอให้เจ้าชายมาเป็นกุญแจหลักที่จะจบปัญหา ทว่าในครั้งนี้ผู้ที่จบปัญหาอันยุ่งเหยิงกลับกลายมาเป็นเจ้าหญิงแอเรียลเอง ซึ่งนี่เป็นการสะท้อนให้เราได้เห็นว่าดิสนีย์พยายามที่จะผลักดันประเด็นสังคมต่างๆ ทั้งในเรื่องของความเท่าเทียม เรื่องของการส่งเสริมคุณค่าของผู้หญิง จนทำให้เราอาจจะรู้สึกได้ว่า “ที่จริงแล้วเจ้าหญิงอาจไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งเจ้าชายเสมอไป” แม้ตัวแปรหลักของการต่อสู้เรื่องหัวใจจะเป็นชายผู้เป็นที่รักคนนั้นก็ตาม