ความสำเร็จของศิลปินมีค่าชี้วัดได้หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือความฮิตที่สร้างกระแสไปได้ทั่วโลก เพลง “I Took A Pill In Ibiza” ของ Mike Posner คือผลงานระดับโลกที่โด่งดังเป็นพลุแตก เรากำลังพูดถึงเวอร์ชั่น Remix ที่จับมือกันทำกับ Seeb แม้เพลงเวอร์ชั่นต้นฉบับของไมค์จะไม่ได้รับความนิยมเทียบเท่า แต่การดัดแปลงสไตล์เพลงให้เหมาะกับยุคสมัยเป็นเรื่องที่ไมค์กล้าจะทำและทำออกมาได้ดีด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นเพลงที่สร้างบรรยากาศความคึกคักดังกล่าวกลับสอดแทรกความหมายเชิงลึกที่โดนความสนุกกลบไป วันนี้โว้กจะมาบอกเล่าเกี่ยวกับเพลงนี้ว่าเนื้อร้องอันเรียบง่ายมีอะไรที่ทำให้ไมค์จดจำช่วงเวลาในการรังสรรค์เพลงนี้ไปตลอดกาล

     “I took a pill in IbizaTo show Avicii I was cool” คือเนื้อร้องช่วงต้นเพลงที่ติดหูฟังคนทั่วโลก โดยไมค์ย้อนถึงเหตุการณ์จริงที่ทำให้แต่งเนื้อร้องท่อนนี้ออกมาว่ามันเป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่เก็บเงียบไม่ให้ใครรู้ท่ามกลางงานปาร์ตี้ ณ ดินแดนสวรรค์นักปาร์ตี้ เขาเฝ้ามอง Avicii ศิลปินแนว EDM ชื่อดัง ซึ่งเป็นเพื่อนของเขาเอง ขึ้นแสดงบนเวที แล้วไมค์ก็ตระหนักได้ว่าเส้นทางชีวิตศิลปินของเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จถึงขนาดที่เขาหวังไว้ โดยเขาเล่าลงรายละเอียดอีกว่าเขาเมามากขณะที่ยืนอยู่ในฝูงชน แล้วก็มองขึ้นไปหาเพื่อนของเขาและคิดว่าที่ตรงนั้นเคยเป็นที่ที่เขาเคยยืน และหวังว่ามันยังเป็นเขาที่ยังยืน ณ จุดนั้น แต่ความจริงมันไม่ใช่ เรื่องดังกล่าวชวนให้บรรยากาศภายในจิตใจของศิลปินหนุ่มหดหู่สวนทางกับความสนุกสุดขั้วบนเกาะอิบิซ่า

     ไมค์กลายเป็นศิลปินขาลง (อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของเขาเอง) เขาหวังเสมอว่าอยากให้มีบางคนจดจำเขาได้ และสร้างความรู้สึกว่าเขาไม่ได้ล้มเหลว จนกระทั่งเขาเจอกับชายกลุ่มหนึ่งที่มอบยาอะไรไม่รู้ เขาใช้มันทันที และแล้วคอนเซปต์เพลงดังกระฉ่อนโลกก็เกิดขึ้น เมื่อเนื้อร้องท่อนแรกดังขึ้นทุกคนก็สามารถจดจำได้ทันที เนื้อร้องติดปากนี้ซ่อนมิติความน่าสนใจภายในจิตใจอันเศร้าหมองของไมค์ได้เป็นอย่างดี เขาไม่ได้พูดถึงว่าเขาเปรียบเปรยสิ่งนี้กับชีวิตจริงให้ชัดเจน แต่จากเรื่องราวผู้เขียนมองว่าท่อน “ฉันเสพยาในอิบิซ่าเพื่อแสดงให้เอวีชี่เห็นว่าเขาเจ๋ง” มันสะท้อนได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้อิจฉาริษยาเพื่อนของเขา (ในมุมมองของผู้เขียน) แต่ก็เขาอยากทะยานขึ้นมาเป็นศิลปินสุดเจ๋ง หากใครเคยฟังเวอร์ชั่นร้องสดพร้อมกีตาร์และพูดถึงเพื่อนรัก จะรู้สึกได้ถึงพลังการยกย่องเพื่อนของตัวเอง และความเศร้าหมองอันหลีกหนีไม่ได้ในช่วงเวลานั้นของตัวเอง

     เนื้อร้องหลายท่อนสะท้อนถึงความดำมืดในจิตใจของไมค์ที่หลายคนมองข้ามไปเพราะดนตรีสุดมัน “But you don't wanna be high like me. Never really knowing why like me. You don't ever wanna step off that roller coaster and be all alone.” ท่อนนี้ก็เป็นอีกท่อนหนึ่งที่สะเทือนอารมณ์อย่างมาก เพราะท่อนนี้สามารถตีความได้ถึง 2 รูปแบบคือหลายคนอยากจะใช้ยาเพื่อความสนุก แต่สุดท้ายคนเราไม่ได้อยาก “High” แบบเขาหรอก และคุณไม่อยากจะกลับสู่สภาพปกติแล้วอยู่อย่างโดดเดี่ยว หรือในอีกแง่หนึ่งไมค์อาจหมายถึงว่าคนไม่อยากจะอยู่ในจุดสูงๆ แบบเขาในฐานะศิลปินหรอก เพราะหาคำตอบกับชีวิตไม่ได้ และเมื่อรถไฟเหาะถึงจุดสูงสุดมันก็จะดิ่งลงมาเหมือนชีวิตนักร้องของเขาเองที่ดิ่งลงมาพร้อมความโดดเดี่ยว ซึ่งเมื่อตีความร่วมกับท่อนอื่นๆ เหมือนไมค์จะหมายความถึงอย่างหลังมากกว่า เพราะมีหลายคำที่บ่งบอกถึงการเป็นศิลปิน ทั้งการขึ้นแสดง รวมถึงความรู้สึกเวลาต้องร้องเพลงทั้งที่ในหัวมีแต่เพลงเศร้า...

     นอกจากท่อนสะเทือนอารมณ์เหล่านี้ ยังมีการพูดถึงความหดหู่เมื่อตัวเองเป็นศิลปินขาลง เขายึดโยงว่าตนเป็นศิลปินเพลงป๊อปที่ถูกลืม อีกทั้งการเป็นคนในแสงสปอตไลต์ก็ไม่สามารถเผยความรู้สึกบางอย่างออกมาได้ นั่นคือความโหดร้ายที่คนๆ หนึ่งจะต้องเผชิญทั้งขึ้นทั้งร่อง ไม่แม้แต่จะมีคนให้ไว้ใจ สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงขึ้นเวทีไปและร้องเพลง ถึงแม้จะไม่ใช่ศิลปินที่มีคนจดจำแล้วก็ตาม ในขณะที่ตัวเองเป็นฮีโร่ของใครหลายคน และยังมีคนมองว่าเขาเป็นซูเปอร์สตาร์ เขาก็พร่ำบอกเสมอว่า “คุณไม่อยากอยู่ในจุดสูงๆ แบบผมหรอก” ตามเนื้อเพลงช่วงสุดท้าย

     ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไมค์ผูกติดตัวเองเข้ากับเรื่องชื่อเสียงและความโด่งดัง แน่นอนเขาไม่ใช่ศิลปินที่ทะนงตัวหรือต้องการสิ่งนั้นแบบสุดขั้ว ทว่าบางอย่างมันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ใครเคยยืนอยู่บนยอดเขาแห่งความสำเร็จย่อมรู้ดีว่าการตกลงมามันเจ็บปวดและเคว้งคว้างเพียงใด ช่วงเวลาที่ผู้คนกำลังปาร์ตี้กินเหล้าเมายาพร้อมกับดนตรีสนุกสุดขั้วจากเพลง “I Took A Pill In Ibiza” ภายใต้ความสนุกนั้นมีน้ำตาซ่อนอยู่เหมือนกับช่วงเวลาที่ไมค์มองเพื่อนแสดงท่ามกลางผู้คนมากมายไปพร้อมกับความรู้สึกโดดเดี่ยว

     “การประชดประชันแบบไม่มีที่สิ้นสุดคือการที่พวกเขา (กลุ่มซีบ) นำเพลงหดหู่นี้มารีมิกซ์และสร้างมันเป็นเพลงสุดมันในคลับ ในฐานะศิลปิน เราพยายามนำความทุกข์ ความเจ็บปวด และเรื่องแง่ลบของเราสร้างให้มันเป็นสิ่งที่สวยงามออกมา” ไมค์กล่าวถึงเพลงเวอร์ชั่นรีมิกซ์ที่ดังสุดขีด คำกล่าวของเขาทะลวงเข้าไปในจุดลึกสุดของวงการเพลง เพราะศิลปินมากมายต้องหยิบเอาเรื่องราวบาดหัวใจมาสรรสร้างเป็นบทเพลงถ่ายทอดให้ผู้ฟัง ในวันหนึ่งเพลงอาจจะดังเปรี้ยงปร้างแบบฉุดไม่อยู่ แต่รับรองว่าบาดแผลในใจของศิลปินเหล่านั้นไม่เคยถูกเยียวยา อีกทั้งมันจะกลายเป็นประสบการณ์ที่ตอกย้ำพวกเขาเรื่อยไป เช่นเดียวกับสิ่งที่ไมค์ต้องเผชิญ และนี่คือแง่มุมความเศร้าโศกในเพลงที่ครั้งหนึ่งเคยฮิตที่สุดในโลก “I Took A Pill In Ibiza”