LIFESTYLE

Blood Red Sky ภาพยนตร์สุดดุเดือดจากเยอรมันที่แฟนหนังแอ็กชั่นสยองขวัญไม่ควรพลาด

ภาพยนตร์แนวใหม่ที่สั่นประสาทด้วยความดุเดือดเลือดพล่านและบีบคั้นอารมณ์ด้วยความดราม่าจนไม่อยากให้ใครพลาด

     แฟนพันธุ์แท้ภาพยนตร์สยองขวัญเคล้าอารมณ์แอ็กชั่นต้องไม่พลาด Blood Red Sky ภาพยนตร์ที่จะกระตุ้นต่อมความตื่นเต้น เคล้าดราม่า และสอดแทรกความสยดสยองไว้ได้อย่างมีคุณภาพ วันนี้โว้กจะมารีวิวความเจ๋งของเรื่องท้องฟ้าสีเลือดนี้ว่าทีมผู้สร้างจะทำออกมาได้น่าสนใจเพียงใด และมาวิเคราะห์กันว่าการรังสรรค์ภาพยนตร์แนวผสมผสานนี้กำลังจะกลายเป็นบรรทัดฐานของภาพยนตร์บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งออนไลน์ยุคใหม่หรือไม่

     Blood Red Sky เป็นผลงานฝีมือผู้กำกับ Peter Thorwath นำแสดงโดย Carl Anton Koch, Peri Baumeister, Kais Setti, Dominic Purcell และนักแสดงมากฝีมือจากฝั่งยุโรปหลายคน เนื้อเรื่องสามารถเข้าใจได้ทันทีตั้งแต่ชมตัวอย่างและอ่านบทนำเบื้องต้น ทว่าความน่าตื่นเต้นไม่ได้อยู่ตรงพลอตที่จะซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพียงใด แต่อยู่ตรงผู้กำกับและนักแสดงจะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นออกมาได้เข้มข้นและน่าติดตามเพียงใดมากกว่า อีกทั้งยังรวมถึงการหาความสมดุลระหว่างวิธีการเล่าเรื่องประกอบกับฉากแอ็กชั่น ดังนั้นหากใครชื่นชอบการเสพความบันเทิงแบบมีพลอตเรื่องเป็นเส้นตรง สอดแทรกด้วยความน่าตื่นเต้นจากหลายประเด็นเราแนะนำว่าอย่าพลาด

     พลอตเรื่องหลักคือ Nadja (รับบทโดยเพริ) ต้องเดินทางไปนิวยอร์กเพื่อรักษาอาการผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับร่างกายและไม่สามารถควบคุมได้ เธอเดินทางพร้อมกับ Elias ลูกชายคนเดียว (รับบทโดยคาร์ล) การเดินเรื่องเริ่มต้นอย่างเรียบง่ายแต่ทิ้งความน่าสงสัยเล็กๆ ด้วยการให้เด็กชายตัวน้อยไปเช็คอินคนเดียวที่สนามบินกระตุ้นต่อมสงสัยให้ผู้ชมอยากหาคำตอบว่าทำไมแม้นาเดียจะว่างคุยโทรศัพท์ที่ห้องแต่ถึงให้เอเลียสมาดำเนินการทุกอย่างด้วยตัวเอง แม้แต่กระเป๋าเดินทางเขายังแบกเองไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ



WATCH




     เรื่องตีดราม่ามาตั้งแต่ต้นเรื่อง มีปมการคุยโทรศัพท์ การฉีดยา และความผิดปกติของท่าทางตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่อง เรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้นเนื่องจากมีการปล้นเครื่องบินโดยสลัดอากาศ ความตื่นเต้นจึงระอุขึ้นมาทันที บางฉากอาจจะมีความโอเวอร์ไม่สมเหตุสมผลไปบ้างในช่วงแรก แต่ก็สามารถบีบคั้นอารมณ์ผู้ชมให้รู้สึกร่วมได้อย่างดี อีกทั้งยังเป็นการเปิดตัวในฐานะภาพยนตร์แนวผสมผสานแบบไม่ประดักประเดิด เพราะความดราม่าได้เริ่มเคล้ากับความโรคจิตสยองขวัญได้อย่างลงตัวใช้ได้เลยทีเดียว

     การดำเนินเรื่องเล่าเหตุการณ์เน้นการเล่าที่มาที่ไปแบบย้อนหลัง (Flashback) เป็นซีนๆ สลับกับเหตุการณ์จริง ซึ่งเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย หลายคนอาจจะชอบในการใช้เส้นเรื่องหลักค่อยๆ ถอดรหัสเรื่องเล่าในอดีต แต่บางคนก็อาจจะชอบแบบสรุปจบขมวดปมเป็นเรื่องๆ ไป อันนี้ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคน แต่ถ้าจะพูดถึงความโดดเด่นคงจะเป็นอารมณ์ของเพริที่รับบทนาเดียได้อย่างหมดจด ความเข้มข้นในการแสดงทั้งในเส้นเรื่องหลักและเส้นเรื่องรองเหมือนกับเธอคือนาเดียจริงๆ เพราะการเชื่อมความรู้สึก 2 เหตุการณ์เข้าด้วยกันไม่ใช่เรื่องง่าย และถ้าใครเป็นสาวกการแสดงแบบบีบคั้นอารมณ์และเล่าเรื่องราวด้วยเข้มข้นต้องชื่นชอบนาเดียในเรื่องนี้แน่นอน

     ข้ามมาถึงฉากแอ็กชั่นกันบ้าง เรียกว่าแม้จะเป็นสเกลการต่อสู้แบบเล็กๆ ภายในเครื่องบินแต่ Blood Red Sky นำเสนอด้านนี้ออกมาได้เร้าใจสุดๆ การบริหารพื้นที่บนตัวเครื่อง ความลุ้นระทึกของการใช้เส้นทาง หรือแม้แต่การใช้อุปกรณ์ภายในเครื่องบินสามารถทำได้อย่างตื่นตาตื่นใจ แม้บางครั้งจะชวนหงุดหงิดไปนิดหน่อยแต่ก็ให้อภัยได้ การตัดสินใจของตัวละครก็มองได้สองแง่ ในแง่หนึ่งตัวละครถูกออกแบบให้ตัดสินใจได้ขัดใจสร้างอารมณ์เชิงลบให้กับผู้ชม ในอีกแง่หนึ่งเป็นความหละหลวมของบทบางจุด แต่เพื่อความเร้าใจก็ปล่อยผ่านได้ไม่ยาก

     ข้ามมาที่โหมดสยองขวัญ แน่นอนว่าในตัวอย่างก็เผยให้เห็นถึงความผิดปกติของร่างกายนาเดียที่จะนำหายนะมาสู่เครื่องบินนี้ไม่แพ้การปล้นเครื่องบิน ดังนั้นปีศาจร้ายที่เธอปลดปล่อยออกมาจากภายในตัวเธอเองก็สร้างความสยดสยองได้มากเลยทีเดียว วิธีการจัดการศัตรู ฉากสยดสยอง หรือแม้แต่การสร้างรอยแผลและเลือดก็ทำได้โหดเหี้ยม สีแดงจากร่างกายมนุษย์สาดเต็มจอแบบไม่เกรงใจ จนเรต 18+ อาจจะดูน้อยไปในหลายฉากเลยด้วยซ้ำ ใครกำลังมองหาความดุเดือดเลือดพล่านจากความสยองขวัญเรื่องนี้ก็เสิร์ฟพร้อมแบบไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มเยอะเลยทีเดียว

     เมื่อทุกแง่มุมมารวมกันตัวละครหลายตัวมีบทบาทมากกว่าแค่ตัวประกอบจริงๆ ในเรื่องนี้ แม้หลายฉากจะทำให้เห็นความสำคัญไม่มากนัก แต่ก็ชวนเราจินตนาการตามได้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินและแต่ละคนก็นำเสนอบทบาทของตัวเองได้อย่างราบรื่น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเหตุการณ์จริงตัวละครตัวเดียวดำเนินเรื่องให้สมบูรณ์ไม่ได้ ตัวละครเรื่องนี้จึงกลายเป็นคีย์สำคัญที่ทำให้การละเลงเลือดบนฟ้าช่างดูสมดุลกว่าที่คิดไว้เยอะเหมือนกัน

     การตัดต่อและโทนของเรื่องถือว่าทำได้ดีทีเดียว วิธีการสร้างอารมณ์บีบคั้นถูกถ่ายทอดผ่านมุมกล้องที่พอเหมาะพอดีไม่ชวนปวดหัวแม้ถ่ายในที่แคบ ในขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้อารมณ์หายไปถ้าถ่ายกว้างหรือโจ่งแจ้งเกินไป โทนสีเน้นสีอมเขียวเล็กน้อยสื่อถึงความสยดสยองของปีศาจได้ดี เมื่อเคล้ากับสีแดงของเลือดก็ยิ่งชวนกระอักกระอ่วน(ในทางบวก)ได้ไม่น้อย แต่การตัดต่อบางจุดยังอาจทำให้ผู้ชมคาใจไปบ้าง รายละเอียดบางอย่างยังถ่ายทอดออกมาได้ไม่เต็มที่ รวมถึงฉากย้อนอดีตที่อาจทำให้หลายคนหงุดหงิดได้เนื่องจากการตัดต่อเล่าเรื่องไม่ราบรื่นสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่โดยรวมถือว่า Blood Red Sky ทำออกมาใช้ได้ทีเดียว

     เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งบรรทัดฐานแสดงให้เห็นว่าภาพยนตร์ยุคใหม่จะเดินเรื่องและถ่ายทอดอารมณ์ออกมาแบบ “One-Way” ไม่ได้อีกแล้ว เพราะนี่คือตัวอย่างที่ผสมผสานความดราม่า แอ็กชั่น และสยองขวัญเข้าด้วยกันอย่างพอดิบพอดี ทุกอย่างอาจจะเหลื่อมล้ำกันไปบ้าง แต่ก็ยังรักษาสมดุลซึ่งกันและกันได้ค่อนข้างดี มากไปกว่านั้นการเล่าเรื่องแบบนี้ยังช่วยให้คนสามารถเปลี่ยนอรรถรสของผู้รับชมได้ทันที เหมือนการเสิร์ฟเมนูอาหารเซตที่ผู้ชมได้ลิ้มรสความอร่อยหลายรูปแบบในจานเดียว ซึ่งแน่นอนว่าภาพยนตร์ยุคใหม่มีการใช้วิธีการเล่าเรื่องราวแบบนี้มากขึ้น และผู้เขียนก็คิดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต

     Blood Red Sky เหมาะกับใคร จริงๆ เรื่องนี้สามารถเป็นภาพยนตร์สำหรับทุกคนที่ชื่นชอบสถานการณ์ความกดดันต่างๆ พร้อมทั้งความดุเดือดเลือดพล่านจากฉากแอ็กชั่น และแง่มุมความสยองขวัญ แต่ถ้าชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ต้องแบกรับความหงุดหงิดขัดใจไว้บางส่วนทั้งส่วนเนื้อเรื่องเรื่อยไปจนถึงการตัดสินใจของตัวละคร ถ้ากำลังหาภาพยนตร์สักเรื่องที่เคล้าหลากอารมณ์เราแนะนำว่า Blood Red Sky เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ห้ามพลาด

 

ภาพ: Netflix

WATCH