Jimmy Choo
FASHION

รู้จัก 'จิมมี่ ชู' อีกครั้ง ดีไซเนอร์ระดับตำนานกับงานดีไซน์สุดคลาสสิกในโลกเทคโนโลยีใหม่

ในวันที่โลกใบนี้ถูกครอบงำโดยเทคโนโลยี ดีไซเนอร์ระดับตำนานปรับตัวอย่างไร

     “ในสมัยก่อนยังไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีโทรศัพท์ หรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยเหมือนกับตอนนี้ ดังนั้นหลังจากที่ผมเลิกเรียนในทุกๆ วัน ภาพที่ผมเห็นจนชินตามากที่สุดก็คือ พ่อของผมกำลังนั่งทำงานดีไซน์รองเท้าอยู่ ดังนั้นเมื่อตอนที่ผมอายุได้ 11 ปี ผมเลยเริ่มดีไซน์รองเท้าให้กับแม่ของผม เพื่อเป็นของขวัญในวันเกิดของเธอ ตอนนั้นแม่ผมรู้สึกเซอร์ไพรส์มาก แล้วหลังจากนั้นมาผมก็บอกกับตัวเองเสมอว่าผมรักงานแฟชั่น  เมื่อผมโตขึ้นผมจะต้องได้เป็นแฟชั่นดีไซเนอร์สักวันหนึ่ง ซึ่งแม่ผมก็เห็นด้วย เขาเห็นความพยายามอย่างหนักของผมในสายทางนี้ และเชื่อมั่นว่าสักวันผมจะเป็นดีไซเนอร์ได้จริงๆ” นี่คือคำตอบแรกจากปากของ Professor Jimmy Choo เมื่อครั้งที่โว้กประเทศไทยได้มีโอกาสเปิดฉากสัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2022 ที่ผ่านมา ดีไซเนอร์ระดับตำนานชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ที่เกิดและเติบโตในครอบครัวช่างทำรองเท้า ย้อนเล่าถึงอดีตและที่มาของแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้เขาหันหัวเรือชีวิตมาจับทางดีไซเนอร์ จนกลายเป็นดีไซเนอร์ชื่อก้องโลกจวบจนทุกวันนี้ คุณจิมมี่ ชู ยังเสริมต่อไปอีกว่า “ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมหันมาจับงานรองเท้าจนโด่งดัง ก็เพราะว่ามันคือวัฒนธรรมของครอบครัวชาวจีน ที่พ่อของผมเป็นช่างทำรองเท้าและต้องการส่งต่อมรดกทางความสามารถนี้ให้กับคนในครอบครัวนั่นเอง”

Jimmy Choo

     ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเมื่อครั้งที่คุณจิมมี่ ชู ยังกุมบังเหียนแบรนด์ Jimmy Choo อยู่นั้น รองเท้าของแบรนด์ Jimmy Choo ถูกสวมใส่โดยเซเลบริตี้ระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง ศิลปิน เรื่อยไปจนถึงเจ้าหญิงในหลายราชวงศ์ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีบุคลิกเฉพาะตัวทั้งสิ้น นั่นจึงทำให้โว้กสงสัยว่า ‘แล้วผู้หญิงแบบไหนกันล่ะ ที่คุณจิมมี่ ชู อยากจะดีไซน์รองเท้าให้จริงๆ’

     คำถามนั้นทำให้ คุณจิมมี่ ชู นั่งเงียบไปสักครู่ก่อนที่จะตอบออกมาว่า “น่าจะต้องเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดี และก็น่าจะเป็นผู้หญิงที่มีสไตล์เป็นของตัวเองพอสมควร รู้จักแฟชั่น เสพงานดีไซน์เป็นนิจ และที่สำคัญคือต้องเข้าใจถึงความประณีตของานหัตถกรรม แล้วถ้าผมยังจะสามารถดีไซน์รองเท้าให้ใครสักคนได้ในชีวิตนี้ ผมคงเลือกเป็นพี่สาวที่รักของผม เพราะเขาดูแลผมตั้งแต่เด็ก ผมอยากจะขอบคุณในแบบธรรมเนียมของคนจีนด้วยสิ่งของ อย่างเช่นรองเท้าซึ่งเป็นรองเท้าที่ผมดีไซน์ขึ้นมาเอง” และเมื่อโว้กพาคุณจิมมี่ ชู ย้อนกลับไปพูดถึงเรื่องการทำงานดีไซน์ คุณจิมมี่ ชู ก็เล่าต่อทันทีถึงความแตกต่างระหว่างงานสเก็ตช์สมัยเก่าและสมัยนี้ ที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปแล้วอย่างชัดเจน

Jimmy Choo

     “ในอดีตผมใช้กระดาษเพื่อสเกตช์งานของผมเหมือนกับดีไซเนอร์ทั่วๆ ไป แต่ตอนนี้ที่เทคโนโลยีมันมาไกลมากแล้ว มีโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ และอีกมากมาย ที่ช่วยเข้ามาทำให้การสเก็ตช์งานและการดีไซน์งานของผมง่ายขึ้นเป็นเท่าตัว ทุกวันนี้ผมก็เลยดีไซน์งานทุกชิ้นของผมลงบนแท็บเล็ต ซึ่งสามารถเชื่อมโยงสู่เครื่องมือเทคโนโลยีอื่นๆ ของผมได้ อีกทั้งการใช้แท็บเล็ตในการดีไซน์งานของผมก็ไม่สร้างขยะเพิ่มให้กับโลกใบนี้อีกด้วย ดีต่อธรรมชาติรอบตัวของเรา เข้ากับคอนเซปต์ Sustainability ที่โลกแฟชั่นกำลังพูดถึงอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้มันยังช่วยให้คุณทำอย่างอื่นไปพร้อมๆ กันได้ในเวลาเดียวกัน เช่นการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น หรือแม้แต่การแชร์งานให้กับพาร์ตเนอร์ในการทำงานด้วยความรวดเร็วและเชื่อมต่อกับทั่วโลกได้อย่าง่ายดาย ซึ่งนั่นหมายถึงคุณสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้”



WATCH




Jimmy Choo

     คุณจิมมี่ ชู ยังเล่าให้โว้กฟังต่อไปอีกว่า “การดีไซน์งานบนกระดาษ คุณต้องใช้กระดาษจำนวนมากๆ และคุณก็สามารถทำมันหายได้ตลอดเวลา แต่เมื่อเป็นแท็บเล็ตแล้วนั้นคุณไม่ต้องใช้เยอะเหมือนกระดาษ เพราะหน่วยความจำเทคโนโลยีมีมหาศาล และคุณสามารถพกพาแท็บเล็ตที่มีน้ำหนักเบาไปได้ในทุกๆ ที่ และแม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปี คุณก็ยังหาเจอได้ในคอมพิวเตอร์ของคุณ อีกทั้งสีที่เราสเก็ตช์งานบนแท็บเล็ตยังจะไม่เพี้ยนไปตามกาลเวลา ซึ่งตรงข้ามกับกระดาษ ที่สีสันอาจจะเพี้ยนไปตามกาลเวลาอีกด้วย”

     ความน่าสนใจของการหันมาใช้เทคโนโลยีในการทำงานแบบเต็มขั้นของดีไซเนอร์ระดับโลกวัย 74 ปี ยังไม่จบลงเท่านั้น เมื่อคุณจิมมี่ ชู ได้พูดถึงเทคโนโลยีแท็บเล็ต HUAWEI MatePad Pro 11-inch ที่สามารถใช้ทำงานดีไซน์และงานศิลปะได้อย่างราบรื่นกว่าที่คิด “ผมสามารถถ่ายภาพ แล้วก็ส่งต่อให้กับพาร์ตเนอร์การทำงานคนอื่นๆ ของผม แชร์ให้เขาเห็นผลงานของผมได้ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้แท็บเล็ตตัวนี้ยังเอื้อต่องานดีไซน์ขั้นสุด เพราะผมสามารถเลือกสีจากธรรมชาติมาใช้ได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน แค่ผมถ่ายภาพธรรมชาติรอบตัวของผม ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ แม่น้ำ หรือท้องฟ้า แล้วเลือกสีจากภาพที่ผมถ่ายมาใช้ในงานดีไซน์ของผมได้ ซึ่งสีที่ได้นั้นยังมีเฉดที่ไม่เพี้ยนแม้แต่น้อย และตรงตามที่เราต้องการอีกด้วย อีกทั้งรูปลักษณ์ภายนอกของแท็บเล็กสมัยนี้ที่ถูกดีไซน์มาให้มีสไตล์ และมีความทันสมัยอยู่ในตัว เหล่าดีไซเนอร์ก็เลยไม่ต้องกลัวว่ามันจะไม่เก๋ เมื่อคุณพกพาไปไหนมาไหนด้วย”

Huawei MatePad Pro 11 inch

     จากการนั่งคุยสัมภาษณ์กับคุณจิมมี่ ชู ในครั้งนี้ของโว้กประเทศไทย เรายังได้เห็นดวงตาที่ประกายแวววาวทุกครั้งที่เขาได้พูดถึงการสร้างสรรค์ผลงานแฟชั่นและศิลปะ โดยไม่มีทีท่าว่าอยากจะเกษียณตัวเองออกจากวงการนี้แต่อย่างใด ก่อนจากกันโว้กจึงทิ้งทวนคำถามที่หลายคนอยากรู้ว่า หลังจากนี้พลังแพสชั่นที่กำลังลุกโชติช่วงในตัวของคุณจิมมี่ ชู นั้นจะพาดีไซเนอร์ในตำนานคนนี้เดินไปทางไหนต่อ ซึ่งคุณจิมมี่ ชู ก็ไม่รอช้ารีบตอบกลับโว้กประเทศไทยทันทีโดยไม่ต้องรอให้คำถามจบ

     “ผมมีแผนสำหรับอนาคตของผมเสมอ หลายคนบอกว่าอายุอย่างผมนี่ ทำไมถึงยังไม่เกษียณตัวเองสักที ผมยังชอบท่องเที่ยว ยังชอบทำงาน และก็ยังรู้สึกมีความสุขเกี่ยวกับเรื่องของงานด้านการศึกษาอยู่ สำหรับแผนของผมในอนาคตก็คือ ผมได้เปิดโรงเรียนที่ลอนดอนเมื่อปีที่ผ่านมา ในชื่อ JCA London Fashion Academy โดยใช้ความรู้ความสามารถทั้งหมดที่ผมมีในสายอาชีพของผม เพื่อส่งต่อให้กับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจเอาไว้มาหลายปีแล้ว”

Jimmy Choo

     แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาอันแสนสั้นที่โว้กประเทศไทยได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณจิมมี่ ชู หากแต่ทุกวรรคตอนของคำตอบนั้นช่างสร้างแรงบันดาลใจให้กับคู่สนทนาที่อยู่ในห้องนั้นได้ไม่น้อย หลังจากนี้ก็คงจะต้องมาตามดูกันแล้วว่าเส้นทางข้างหน้าของคุณจิมมี่ ชู นั้นจะสร้างตำนานอะไรให้กับอุตสาหกรรมแฟชั่นนี้ได้อีกหรือไม่ ผ่านการผสานรวมเอาเทคโนโลยีมาไว้รวมกับผลงานดีไซน์สุดคลาสสิกที่สายแฟ(ชั่น)อย่างเราๆ คุ้นเคยกันดี

 

WATCH

คีย์เวิร์ด: #JimmyChoo #HUAWEI