Fashion and Feminism

FASHION

VOGUE SCOOP | เมื่อโลกของแฟชั่นอาจกลายเป็นสถานที่กดขี่เพศหญิงมากที่สุด

โว้กพาไปทุกคนไปสำรวจที่ทางของเพศหญิงในอุตสาหกรรมแฟชั่น อุตสาหกรรมที่ได้ชื่อว่าขับเคลื่อนด้วยพลังการบริโภคของผู้หญิงเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว โลกแฟชั่นนี้เองอาจกลายเป็นโลกที่กดขี่เพศหญิงมากที่สุดก็เป็นได้

โดย Peeranat Chansakoolnee
28 พฤษภาคม 2568

     อีกไม่นานผลลัพธ์ของเกมเก้าอี้ดนตรีในโลกแฟชั่นที่ดำเนินมาอย่างยาวนานข้ามปี ก็กำลังจะประจักษ์ต่อสายของเหล่าคนแฟชั่นที่อดหลับอดนอน คอยเฝ้าอ่านข่าวการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบทศวรรษของโลกแฟชั่นมานานหลายเดือนกันแล้ว และที่นี้แหละ...เราก็จะได้รู้กันเสียทีว่ากลยุทธ์การเขย่าที่นั่งดีไซเนอร์หัวเรือใหญ่นั้นคือทางออกของปัญหาหรือไม่

     ทว่าก่อนที่โว้กจะพาทุกคนไปถกเถียงถึงจุดนั้น มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและเป็นข้อสังเกตสำคัญจากการเล่นเกมเก้าอี้ดนตรีแฟชั่นครั้งนี้ว่า นอกจากปรากฏการณ์ดังกล่าวจะไม่ได้รับประกันสถานการณ์ที่ดีขึ้นของหลายๆ แบรนด์ดังแล้ว การเปลี่ยนวนเก้าอี้ดนตรีของเหล่าดีไซเนอร์ในครั้งนี้ยังสร้างข้อกังวลให้คนแฟชั่นสายสตรีนิยมอย่างมาก เกี่ยวกับจำนวนของผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์เพศหญิงที่ดูจะลดจำนวนลงกว่าเดิมเข้าไปอีก ซึ่งหลายตำแหน่งยังถูกแทนที่โดย “ดีไซเนอร์ชายผิวขาว” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความหลากหลายที่เป็นประเด็นถกเถียงในโลกแฟชั่นมานานหลายปี เพราะหากเราได้เอาข้อมูลมากางให้เห็นกันอย่างชัดแจ้งก็จะพบว่า จากบรรดาลิสต์แบรนด์แฟชั่นระดับลักชัวรีในเวลานี้มีเพียงแค่ 16 แบรนด์แฟชั่นเท่านั้นที่มีผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์เป็นเพศหญิง (Maria Grazia Chiuri, Sarah Burton, Nadège Vanhée-Cybulski, Chemena Kamali, Silvia Venturini Fendi, Miuccia Prada, Louise Trotter, Veronica Leoni, Grace Wales Bonner, Martine Rose, Ashley & Mary-Kate Olsen, Catherine Holstein, Marine Serre, Isabel Marant, Chitose Abe และ Rei Kawakubo) และมีเพียง 5 คน จาก 16 คนเท่านั้นที่เป็นเพศหญิงเอเชียนและเพศหญิงผิวสี ซึ่งเป็นสถิติที่สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับจำนวนของนักศึกษาที่เข้าเรียนและจบการศึกษาจากโรงเรียนแฟชั่นซึ่งเป็นเพศหญิงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ นั่นเองที่ทำให้เกิดคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับที่ทางของเพศหญิงในโลกแฟชั่น

     จากปัญหาสัดส่วนของหัวเรือใหญ่ประจำแบรนด์แฟชั่น จุดประกายให้ผู้เขียนอยากรู้ต่อไปอีกว่า “แล้วเพศหญิงมีบทบาทและมีที่ทางตรงไหนบ้างในโลกแฟชั่น”...

     หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนมองว่าต้องไล่เรียงมาตั้งแต่แรกก็คือ บนหน้าประวัติศาสตร์ของโลกแฟชั่นนั้น ผู้ก่อตั้งหรือดีไซเนอร์หัวเรือใหญ่ที่สร้างแบรนด์เสื้อผ้าผู้หญิงระดับตำนาน ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นเพศชาย ซึ่งสิ่งนี้เชื่อมโยงถึงการมีบทบาทเป็นผู้กำหนดทิศทางเทรนด์ เสื้อผ้า หรือกระทั่งวิธีการแต่งตัวของเพศหญิง โดยผ่านมุมมองและสายตาของดีไซเนอร์เพศชายส่วนใหญ่เหล่านั้นมาแต่ไหนแต่ไร (แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดแต่ก็มากพอควร) หรือที่ภาษาเฟมินิสต์เขาเรียกกันว่า The Male Gaze นั่นคือมุมมองที่มาจากเพศชาย เพื่อตอบสนองความพอใจของผู้ชายเป็นหลัก (อ้างอิงจากนักทฤษฎีภาพยนตร์นามว่า Laura Mulvey ในปี 1975 ที่เคยวิพากษ์วิจารณ์โลกภาพยนตร์ซึ่งถูกชักจูงโดยแนวคิดปิตาธิปไตย) ซึ่งนั่นเองก็นับเป็นข้อถกเถียงในอุตสาหกรรมแฟชั่นเช่นเดียวกัน อุตสาหกรรมที่มีแรงขับเคลื่อนจากกำลังบริโภคโดยเพศหญิงเป็นหลัก ที่หลายคนตั้งข้อสังเกตไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า ปรากฏการณ์ The Male Gaze ในโลกแฟชั่นยังคงหยั่งรากลึกมาจนถึงปัจจุบัน สะท้อนผ่านความไว้วางใจจาก CEO หรือแม้แต่คนเสพแฟชั่นจำนวนหนึ่งที่มองว่า ดีไซเนอร์เพศชายมีความสามารถออกแบบเสื้อผ้าที่เข้าใจความต้องการของทั้งสองเพศได้ดี ในขณะที่ดีไซเนอร์เพศหญิงออกแบบเสื้อผ้าผู้หญิงได้ดีเท่านั้น ซึ่งอาจเป็นเหตุผลเชื่อมโยงถึงการโปรโมตตำแหน่งหรือการวางใจให้ดีไซเนอร์เพศหญิงหือดีไซเนอร์เพศชายขึ้นนำในฐานะหัวเรือใหญ่ก็เป็นได้ ซึ่งยิ่งเป็นการปิดโอกาดีไซเนอร์เพศหญิงในการขึ้นสู่ตำแหน่งนำ และเป็นแต้มต่อให้ดีไซเนอร์เพศชายกลายเป็นตัวเลือกหลักในการขึ้นสู่ตำแหน่งกุมบังเหียนแบรนด์ดัง วนลูปสู่วงล้อเดิมที่มีดีไซเนอร์เพศชายถูกสถาปนาขึ้นเป็นหัวเรือใหญ่ในการกำหนดวิธีการแต่งตัวของผู้หญิงในสังคมต่อไปไม่จบสิ้น

     แล้วแบบนี้ความเชื่อที่ว่า “โลกแฟชั่นเป็นโลกของผู้หญิง” ยังเป็นจริงอยู่ไหม...

 

     ข้างต้นที่กล่าวมานั้นอาจเป็นเพียงบทวิเคราะห์คาดการณ์ และยังมีปัจจัยหลายอย่างมากกว่าเรื่องเพศ ในการตัดสินใจไล่ใครออกจากบังเหียนแบรนด์ดัง และสถาปนาใครขึ้นมาแทนที่ ทั้งเรื่องของความสามารถ รสนิยมที่ตรงกับแบรนด์ ไปจนถึงวิถีการทำงาน และอีกมากมาย ประเด็นเรื่องเพศที่ผู้เขียนหยิบยกขึ้นมาพูดนั้นเป็นเพียงข้อกังวลที่อยากจะชวนทุกคนจับตามองอย่างใกล้ชิด ช่วยกันขบคิด ถกเถียง และวิพากษ์วิจารณ์อย่างเป็นวงกว้างต่อไป

     ในขณะที่ข้อสังเกตเรื่องสัดส่วนที่ลดลงของดีไซเนอร์หัวเรือใหญ่เพศหญิง ซึ่งถูกแทนที่โดยดีไซเนอร์เพศชายผิวขาว ด้วยเหตุผลของปัจจัยการให้กำเนิดแบรนด์และความเชื่อที่ฝังรากมานาน อาจเป็นเรื่องที่ยังต้องถกเถียงต่อ แต่ที่ทางของเพศหญิงในโลกแฟชั่นที่ถูกกดขี่ในฐานะของ "แรงงานทาส" นั้นกลับเป็นเรื่องจริงเสียยิ่งกว่าจริง ที่คนแฟชั่นต้องหันมาให้ความสนใจกันโดยด่วน โดยพาะอย่างยิ่งกับกระบวนการผลิตสินค้า Fast Fashion ที่เสี่ยงต่อการกดขี่แรงงานเพศหญิงในโลกแฟชั่นเรื้อรังที่สุด

     ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เราต่างได้เห็นข่าวคราวของแรงงานในโรงงานผลิตสินค้าแฟชั่นฟาสต์แฟชั่นที่ถูกกดขี่มากมาย โดยกว่าครึ่งหนึ่งล้วนแล้วแต่เป็นแรงงานเพศหญิง ที่ถูกกดขี่ข่มเหงทั้งแรงกายและทางเพศ ซึ่งในฐานะของคนงานตัดเย็บเสื้อผ้านั้นยังถูกนิยามว่าเป็น 'สภาพทาสยุคใหม่' เนื่องจากคนงานตัดเย็บเสื้อผ้าส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นผู้หญิงผิวสี ที่มีอายุระหว่าง 18-24 ปี (หรือน้อยกว่านั้น) เท่านั้น และผู้หญิงเหล่านั้นยังถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน ความปลอดภัย และความเคารพอย่างยุติธรรม โดย 2 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด จากสถิติอ้างอิงของ www.collectivefashionjustice.org เผยว่าพวกเธอได้รับเพียงค่าครองชีพที่เป็นเพียงค่าจ้างที่ครอบคลุมความต้องการขั้นพื้นฐานของบุคคลเท่านั้น ไร้ซึ่งสวัสดิการคุ้มครองเพิ่มเติม หรือแม้แต่ความปลอดภัย โดยเฉพาะความปลอดภัยทางเพศ ซึ่งผู้หญิงหลายคนที่ขายแรงงานในโรงงานผลิตเสื้อผ้าเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ (ในประเทศกัมพูชาคิดเป็นตัวเลขสูงถึง 1 ใน 3) ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดยังคงดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ในรูปแบบของปัญหาใต้พรม ที่แบรนด์ดังพยายามเก็บกวาดโดยไม่สุจริต แม้ว่าจะมีการกดดันให้มีข้อบังคับคุ้มครองแรงงานหญิงเหล่านี้แล้วก็ตาม

     ถึงตรงนี้แล้ว ไม่แน่ใจว่าพวกเรายังสามารถพูดได้อย่างเต็มปากหรือไม่ว่า “โลกแฟชั่นคือโลกของผู้หญิง” ในขณะที่แบรนด์แฟชั่นต่างเอาตัวรอดด้วยการเขย่าที่นั่งดีไซเนอร์หัวเรือใหญ่โดยไม่สนใจเรื่องความหลากหลาย ด้วยตัวเลือกดีไซเนอร์เพศชายผิวขาวเป็นหลัก ที่จะขึ้นมากำหนดการแต่งตัวของผู้หญิงในสังคมต่อไปไม่รู้จบ ในขณะที่เพศหญิงจำนวนหนึ่ง (ซึ่งเป็นจำนวนมาก) ถูกทิ้งให้เป็นแรงงานทาสในโรงงานผลิตสินค้าแฟชั่นสักแห่งหนึ่งที่ห่างไกลออกไปบนโลกใบนี้ มันช่างน่าเศร้าที่เราได้รู้ว่า ที่ทางของเพศหญิงในโลกแฟชั่นมันช่างน่าสมเพชขนาดไหน

กราฟิก : สุกฤตา ว่องวัฒนพิบูลย์