FASHION

เจาะลึกเส้นทางสายตำนานของคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ ตลอด 70 ปีที่ผ่านมา

ภาพ : Pinterest

 

     หลังจากที่ไม่ปรากฏตัวในการแสดงโชว์คอลเล็กชั่นโอต์กูตูร์คอลเล็กชั่น ฤดูร้อน/ฤดูใบไม้ผลิ 2019 ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลที่ว่าป่วยจนไม่สามารถออกมาพบผู้คนได้ และกลายเป็นกระแสข่าวหนาหูเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานั่น... ล่าสุดเมื่อเช้าตามเวลาท้องถิ่น ณ มหานครปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้มีข่าวแถลงออกมาอย่างเป็นทางการแล้วว่า Karl Lagerfeld ดีไซเนอร์มากฝีมือผู้นี้ ได้เสียชีวิตลงแล้วอย่างสงบในวัย 85 ปี ณ Neuilly-sur-Seinne ด้วยปัญหาสุขภาพที่เรื้อรังมาเป็นเวลานาน นับเป็นอีกเรื่องน่าเสียใจของวงการแฟชั่นโลกก็ว่าได้.....

ภาพ : Pinterest

 

     หากอย่างที่ทุกคนทราบกันเป็นอย่างดี ตลอดกว่า 7 ทศวรรษที่คาร์ลคร่ำหวอดอยู่ในอุตสาหกรรมแฟชั่น เขาได้รังสรรค์ชิ้นงานและเนรมิตสิ่งที่ไม่คาดฝันให้กับวงการแฟชั่นมาแล้วนับไม่ถ้วน ผู้ที่คอยกุมบังเหียน 2 แฟชั่นเฮาส์ระดับไอคอนิก ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์สัญชาติอิตาลี Fendi (เริ่มต้นในปี 1965) และแบรนด์ลักชัวรีระดับตำนาน Chanel (เริ่มต้นในปี 1983) อีกทั้งยังได้สร้างไลน์แฟชั่นเป็นของตัวเองในนาม Karl Lagerfeld อีกด้วย คาร์ลหรือปู่คาร์ลที่เราเรียกกันอย่างคุ้นชินดูแล และเซตนิยามความเป็นผู้นำแฟชั่นให้กับโลกแฟชั่นใบนี้อยู่เสมอ... ด้วยคติการทำงานที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยทำให้ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็แทบจะไม่มีใครคิดเลยว่าเขากำลังจะรีไทร์ กระทั่งการเกษียณอายุอย่างเป็นทางการของเขาก็มาถึงด้วยการจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ หากนั่นก็ไม่สามารถพรากชื่อของ คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ให้หายไปจากอุตสาหกรรมโลกแฟชั่นได้เลย


     Karl Otto Largerfeld ดีไซเนอร์ชื่อดังระดับตำนานผู้นี้ เกิดที่เมือง Hamburg ในวันที่ 10 กันยายน 1933 ผู้ที่มีความสามารถ ผ่านประสบการณ์ในวงการแฟชั่นมาอย่างโชกโชน จากครอบครัวธุรกิจสู่การตามฝันเพื่อเป็นนักออกแบบ ชายหนุ่มชาวเยอรมันคนนี้ฝังตัวอยู่ในครอบครัวนักธุรกิจ แต่ลิขิตชีวิตไม่ได้ถูกขีดให้ไปตามเส้นทางนั้น คาร์ลเริ่มสนใจแฟชั่น และเลือกเดินทางสายแฟชั่นนี้ ผ่านการเป็นผู้ชนะการทำโค้ตในการแข่งขันระดับสากล จนกลายเป็นใบเบิกทาง และจุดเริ่มต้นของอาชีพในสายทางนี้ ก่อนที่เขาจะจริงจังกับมันด้วยการเริ่มเป็นผู้ช่วยของ Pierre Balmain สุดยอดดีไซเนอร์แห่งยุคอีกหนึ่งคน ในตอนนั้น อีกทั้งในช่วงปี 1974 เดียวกันนี้เขายังโลดแล่นเก็บประสบการณ์นับไม่ถ้วนจากหลากหลายแบรนด์ หลังจากนั้นคาร์ลจึงตัดสินใจพาเหรดผลงาน และอัตลักษณ์แห่งดีไซน์ประจำตัวของเขา ย้ายเข้าไปสู่ Jean Patou ในปี 1958- 1963 พร้อมท้าทายตัวเองด้วยการเริ่มงานระดับโอต์กูตูร์ เป็นเวลานานกว่าครึ่งทศวรรษ ด้วยผลงานของคาร์ลในตอนนั้น มีความแปลกตา และไม่เป็นที่คุ้นชิ้นตามบรรทัดฐานของสังคม เฉกเช่นชุดเดรสสั้นสีดำทั่วไป จุดนี้จึงเป็นดั่งกระจกที่สะท้อนให้เห็นว่าชายหนุ่มผู้นี้จะต้องกลายเป็นบุคคลไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และก็เป็นช่นนั้นในเวลาต่อมา เมื่อปี 1964 คาร์ลได้ทำงานกับแบรนด์แฟชั่นชื่อดังอย่าง Chloé ก่อนที่จะตามมาด้วย Fendi และ CHANEL ที่นับเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คาร์ลกลายเป็นที่โจทก์ขานไปไกล กลายเป็นปู่คาร์ลแห่งวงการแฟชั่นโลกผู้ทรงอิทธิพลที่สุดอีกคนหนึ่งได้ในที่สุด...

ภาพถ่ายคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ และ แอนนา วินทัวร์ บรรณาธิการบริหารแห่งโว้กอเมริกา / ภาพ : Getty Images

 

     การกุมบังเหียนในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ ทั้งแบรนด์ CHANEL และ Fendi นั้น ไม่เพียงทำให้คาร์ลก้าวเข้ามาเป็นคนดัง หากเขาก็ได้พาแบรนด์ระดับตำนานทั้งสองนี้ ให้กลายเป็นแบรนด์ที่ต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ตลอดกาลได้ในที่สุด ด้วยผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาผู้คนนับล้านแล้วทั่วโลก ทั้งการเนรมิตแฟชั่นรันเวย์ของทั้งสองแบรนด์ให้กลายเป็นที่จดจำ และชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นการเนรมิตรันเวย์ให้กลายเป็น CHANEL Shopping Center การเนรมิตแอร์พอร์ตในรูปแบบของชาเนลที่ทำให้ทุกคนต้องอึ้งมาแล้วด้วยกันอย่างถ้วนทั่ว กระทั่งการเนรมิตป่าเสมือนจริง และเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวในแบบชาเนลเขาก็ทำมาแล้ว กระทั่งไอเท็มแฟชั่นอีกนับไม่ถ้วนที่ได้เคยช็อกวงการแฟชั่น และกลายเป็นเทรนด์ตลอดกาลไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย (อย่างเช่นตัวอักษร CC ที่กลายเป็นที่จดจำ) ความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้นับเป็นบทแฟชั่นที่ต้องถูกจารึกไว้บนหน้าบันทึกประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น ด้วยนิยามว่าคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์คือผู้ที่ทุ่มเทให้กับงานมากเพียงใด


     ยังคงมีผลงานคอลเล็กชั่นคอลาบอเรชั่น ยกตัวอย่างเช่นในปี 2004 ที่คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ยังเคยสร้างปรากฏการณ์ร่วมงานกับแบรนด์แฟชั่นประเภท Fast Fashion อย่าง H&M อันเป็นดั่งการกรุยทางความคิดสร้างสรรค์ พร้อมพร่าเลือนพรมแดนแฟชั่นให้กว้างขึ้นกว่าที่เคยเป็น... ดังนั้นแล้ว นี่จึงนับเป็นข่าวใหญ่ที่น่าเสียใจที่สุดข่าวหนึ่งในวงการแฟชั่นก็ว่าได้ ที่เราต่างได้สูญเสียบุคลากรคนสำคัญแห่งยุคไปอย่างไม่มีวันกลับ หากสิ่งที่ต้องจับตามองไม่แพ้กันก็คือ บัลลังก์ของทั้งสามแบรนด์ดังไม่ว่าจะเป็น CHANEL, Fendi หรือ Karl Lagerfeld (ที่มีเจ้าแมวชูแพตต์สหายรักเป็นดั่งอัตลักษณ์ของแบรนด์นั้น) จะถูกเปลี่ยนมืออย่างไรต่อไป เพราะนี่นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้งของทิศทางแฟชั่นโลกเลยก็ว่าได้ และแบรนด์ระดับตำนานเหล่านี้จะเดินเกมบนรันเวย์ต่อไปอย่างไร ช่างเป็นเรื่องที่น่าติดตาม...



WATCH




WATCH

คีย์เวิร์ด: #KarlLagerfeld