ยังคงเป็นประเด็นให้ได้พูดถึงอย่างเข้มข้น แม้ว่าจะมีการออกมาตอบโต้จากทั้งฝั่งของแบรนด์แฟชั่นต้นเรื่อง และคู่กรณี สำหรับดราม่าแคมเปญโฆษณา Teddy Bear ของแบรนด์ Balenciaga ที่ถูกกล่าวหาว่าไม่เหมาะสม เนื่องจากมีการแฝงชุดความคิดเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศแบบ BDSM และการล่วงละเมิดเด็กเอาไว้ ก่อนที่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจะมีกระแสข่าวว่า บาเลนเซียก้าเตรียมจะฟ้องโปรดักชั่นเฮาส์ผู้อยู่เบื้องหลังผลงานสุดอื้อฉาวชิ้นดังกล่าว ด้วยมูลค่าเงินสูงเกือบ 900 ล้านบาท สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ระลอกสองว่า "แบรนด์กำลังทำลายภาพลักษณ์ของตัวเองให้แย่ลง ด้วยการแก้ตัวน้ำขุ่นๆ" และแม้ว่าตัวของแบรนด์และครีเอทีฟไดเร็กเตอร์อย่าง Demna จะออกมาขอโทษผ่านโซเชียลมีเดียแล้วก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่ากระแสตีกลับแบรนด์บนโลกโซเชียลมีเดีย จากทั้งคนแฟชั่น ลูกค้า ไปจนถึงคนทั่วไปที่ติดตามข่าว จะยังคงดุเดือดอยู่ในตอนนี้

     หากใครก็ตามที่ฝังตัวอยู่ในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนแพลตฟอร์มของ TikTok ก็คงจะได้ผ่านตากับคลิปของเหล่าคนแฟชั่นที่เริ่มแห่กันแชร์เรื่องราวแฟชั่น Old-Balenciaga หรือผลงานบาเลนเซียก้าดั้งเดิม ในยุคเริ่มแรกที่ Cristobal Balenciaga ยังคงเป็นผู้กุมบังเหียนอยู่ จนกระทั่งกลายเป็นกระแสโหยหา Old-Balenciaga เพื่อจุดประสงค์ในการแสดงออกต่อต้านการทำงานของเด็มนา ดีไซเนอร์คนปัจจุบัน หนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้เกิดแคมเปญโฆษณาดังกล่าว และที่มากไปกว่านั้น บัญชี TikTok หลายบัญชียังได้รวบรวมผลงานเก่าๆ ของเด็มนาตลอดยุคสมัยที่เขาเข้ามาพลิกโฉมบาเลนเซียก้า พร้อมจับผิดถึงความคิดสร้างสรรค์เบื้องหลังอันเลวร้าย ที่มีการคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าเกี่ยวข้องกับลัทธิซาตานบูชาเด็กบริสุทธิ์ ที่ทำเอาคนแฟชั่นหลายคนมองผลงานของบาเลนเซียก้ายุคเด็มนาเปลี่ยนไป

     ไม่เพียงเท่านั้น เพราะจากการรวบรวมข้อมูลของสื่อหลายหัว ไม่ว่าจะเป็น Insider.com หรือ Page Six เองก็ตาม ล้วนแล้วแต่ให้ข้อมูลตรงกันว่า ผู้ใช้ TikTok ยังมีการสร้างคอนเทนต์ทำลายแฟชั่นไอเท็มของแบรนด์บาเลนเซียก้ามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัด หรือเผา เพื่อเป็นการประท้วงและกดดันแบรนด์บาเลนเซียก้าให้ออกมารับผิดชอบกับกระแสดราม่าที่เกิดขึ้น ซึ่งหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นยังรวมไปถึงเหล่าเซเลบริตี้มีชื่อ ที่เริ่มมีการทำคอนเทนต์บนบัญชีอินสตาแกรมส่วนตัวด้วยการโยนทิ้งแฟชั่นไอเท็มชิ้นดังของบาเลนเซียก้าจนกลายเป็นกระแสไวรัล

     อย่างไรก็ตาม ความน่าสนใจของปรากฏการณ์ร่วมใจกันออกมาประท้วง และต่อต้านการกระทำของแบรนด์ในเวลานี้ ยังสะท้อนให้เห็นการตื่นรู้ทางสังคม ที่ผู้บริโภคจะเป็นคนกำหนดทิศทางด้วยตนเองของสังคมนั้นๆ อีกด้วย ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากทีเดียว