
SKINCARE
ค่า pH สำคัญกับผิวแค่ไหน? มีค่าเท่าไรถึงจะเรียกว่าสมดุลสิ่งที่เรียกว่าค่า pH คืออะไร ทำไมถึงควรปรับให้สมดุลอยู่เสมอ |
ค่า pH ย่อมาจากคำว่า ‘Potential of Hydrogen’ ซึ่งเป็นหน่วยวัดความเป็นกรด-ด่างของสารใดๆ ค่า pH จะมีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 14 โดยทั่วไปผิวหนังที่สมดุลและแข็งแรงจะมีค่า pH อยู่ที่ประมาณ 4.5 - 5.5 ซึ่งเป็นช่วงของกรดอ่อนๆ ที่เหมาะสมต่อการทำงานของเอนไซม์และจุลินทรีย์ที่ดีบนผิว และช่วยรักษาความชุ่มชื้น หากค่า pH ของผิวสูงหรือต่ำเกินไป อาจส่งผลให้เกิดปัญหาผิวตามมาได้
ทำไมค่า pH จึงสำคัญต่อผิว
- ผิวหนังมีของเราชั้นกรดบางๆ ที่ปกคลุมอยู่ด้านบนสุด ทำหน้าที่เป็นเกราะธรรมชาติ ป้องกันเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา รวมถึงลดการสูญเสียน้ำ ค่า pH ที่เป็นกรดอ่อนจะช่วยให้เกราะนี้ทำงานได้ดีที่สุด
- ส่งเสริมการผลัดเซลล์ผิว เพราะค่า pH ที่สมดุลช่วยให้กระบวนการผลัดเซลล์ผิวเป็นไปอย่างราบรื่น ผิวเรียบเนียนและลดการอุดตันของรูขุมขนได้ดี
- ลดอาการระคายเคือง หากค่า pH ผิวสูงขึ้น จะทำให้เอนไซม์บางชนิดทำงานผิดปกติ จึงทำให้เกิดอาการระคายเคือง คัน หรือผิวแห้งลอกง่าย

ภาพ : Freepik
ปัจจัยอะไรที่มีผลกระทบต่อค่า pH ของผิว
1. ฮอร์โมน ในแต่ละช่วงของรอบเดือน
ฮอร์โมนในร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะสูงขึ้น ทำให้ผิวมันมากขึ้น ค่า pH อาจลดลงเล็กน้อย หรือช่วงมีประจำเดือน ผิวอาจแห้งและอ่อนแอลง เพราะค่า pH อาจสูงขึ้น
2. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว
การล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีส่วนผสมของ Sodium Lauryl Sulfate หรือ SLS ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดฟองที่มีความเป็นเบสสูงมาก เมื่อล้างเสร็จอาจทำให้ผิวแห้งจนเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด ทางที่ดีควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคำว่า ‘pH-balance’ มีค่า pH ประมาณ 5.0 - 5.5 ซึ่งใกล้เคียงกับค่า pH ตามธรรมชาติของผิว หลีกเลี่ยงสบู่หรือโฟมล้างหน้าที่มีค่า pH สูงกว่า 7 เพราะมักจะทำให้ผิวแห้งตึงและเสี่ยงต่อการอักเสบ
3. อาหาร
อาหารที่เรากินมีผลต่อค่า pH ผิว เช่น อาหารที่ทำให้ร่างกายเป็นกรดอย่าง เนื้อแดง น้ำตาล แป้งขัดขาว อาหารแปรรูป อาหารทอด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และน้ำอัดลม อาหารเหล่านี้อาจเพิ่มความเป็นกรดในเซลล์และรบกวนจุลินทรีย์ดีบนผิวหนัง ทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอและค่า pH ของผิวเสียสมดุลได้
4. สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม
อากาศที่มีความชื้นสูงหรือเหงื่อออกมาก ทำให้ผิวเป็นกรดมากขึ้น รวมถึงมลภาวะ ฝุ่น ควัน และแสงยูวี ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีส่วนทำให้เกราะผิวอ่อนแอและค่า pH เปลี่ยนแปลงได้
ปัญหาผิวที่เกิดจากค่า pH ไม่สมดุล
- สิว : ค่า pH ที่ด่างเกินไปทำให้แบคทีเรียที่ก่อสิว เช่น C.acnes เจริญเติบโตได้ดีขึ้น รวมถึงทำให้เกิดรูขุมขนอุดตันง่ายขึ้นจากการอักเสบ เกิดสิวอุดตัน
- ผิวแห้งลอกเป็นขุย : เมื่อเกราะป้องกันผิวเสียหาย ผิวสูญเสียน้ำได้ง่าย ทำให้ผิวแห้ง แตก ลอก ไม่เรียบเนียน บางคนอาจรู้สึกแสบตึงหลังล้างหน้าหรืออาบน้ำเสร็จ
- ผิวระคายเคืองง่าย แพ้ง่าย : ผิวที่ไวต่อแสงแดด ฝุ่น อากาศ แอลกอฮอล์ หรือแม้แต่ครีมบำรุง มักมีอาการแสบ คัน แดง
- ริ้วรอยก่อนวัย : ผิวที่ไม่สมดุลจะเร่งกระบวนการสูญเสียคอลลาเจนและอิลาสติน รวมถึงชะลอการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ส่งผลให้เกิดริ้วรอยเล็กๆ ความหย่อนคล้อย หรือความหมองคล้ำได้ง่ายขึ้น
WATCH

ภาพ : Freepik
วิธีปรับสมดุลค่า PH ผิวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็น ‘pH-Balanced’
มองหาคำว่า ‘pH-balanced’, ‘soap-free’, หรือ ‘gentle cleanser’ บนฉลากของผลิตภัณฑ์ พยายามหลีกเลี่ยงสบู่หรือโฟมที่มี pH สูงเกิน 7 เพราะอาจทำลายเกราะป้องกันผิวได้
2. รักษาความชุ่มชื้นของผิวให้เพียงพอ
ผิวที่ชุ่มชื้นดีจะสามารถควบคุมค่า pH ได้ดีกว่าผิวแห้ง แนะนำให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมเช่น เซราไมด์, กรดไฮยาลูรอนิก หรือกลีเซอรีน ซึ่งจะเป็นส่วนผสมที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นและรักษาเกราะป้องกันผิวได้ดี
3. ปรับพฤติกรรมการกิน
อาหารที่ดีต่อสมดุลผิว เช่น ผักใบเขียว ผลไม้หลากสี ถั่ว ธัญพืช ปลาแซลมอน หลีกเลี่ยงการกินของทอด น้ำตาลสูง แป้งขัดขาว อาหารแปรรูปมากๆ และควรเสริมด้วยอาหารที่มีโปรไบโอติกส์ เช่น กิมจิ โยเกิร์ต หรือน้ำส้มสายชูจากแอปเปิ้ลหรือไซเดอร์หมัก เพราะดีต่อสมดุลจุลินทรีย์และผิวของเรา
4. จัดการความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
รู้หรือไม่ว่าความเครียดส่งผลต่อฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบได้ ทำให้ค่า pH ของผิวเสีย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาผิวต่างๆ ตามมาได้ นอกจากนี้ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะในขณะที่เรานอนหลับ ร่างกายจะซ่อมแซมผิวและปรับค่า pH ให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ภาพ : Freepik
WATCH