เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นผ่านตากันอยู่บ่อยๆ กับสามตัวตัวย่อเหล่านี้ AHA, BHA และ PHA ที่มักเขียนติดอยู่บนฉลากสกินแคร์ แล้วเคยสงสัยกันไหมว่ามันคืออะไร และมันแตกต่างกันอย่างไร? โดยทั่วไปแล้วเราก็จะรู้จักว่าทั้งหมดนี้คือชื่อของ “กรดผลัดเซลล์ผิว” ที่ช่วยให้ผิวเรียบเนียน ลดการอุดตัน และทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น แต่ถึงแม้จะฟังดูคล้ายกัน ทว่าความจริงแล้วพวกมันมีโครงสร้างและการทำงานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถ้าหากเลือกใช้ผิดชนิด ก็อาจทำให้ผิวเกิดความระคายเคือง หรือใช้แล้วแก้ปัญหาไม่เห็นผล วันนี้โว้กบิวตี้จึงจะพาไปทำความรู้จักกับ AHA, BHA และ PHA พร้อมแนะนำว่าใครควรใช้ตัวไหนบ้าง
1 / 3
1.AHA (Alpha Hydroxy Acid)
AHA คือกรดละลายน้ำที่พบตามธรรมชาติ เช่น กรดไกลโคลิก กรดแลคติก และกรดซิตริก มีจุดเด่นในการช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบน ลดเลือนจุดด่างดำ ความหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ รวมถึงริ้วรอยเล็กๆ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวดูเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น
เหมาะกับใคร: เหมาะสำหรับผิวแห้งหรือผิวธรรมดาที่ต้องการให้ผิวเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น
ข้อควรระวังในการใช้: การใช้สกินแคร์ที่มี AHA ทำให้ผิวไวต่อแดดมากขึ้น ฉะนั้นถ้าใช้แล้วไม่ทาครีมกันแดด อาจทำให้ผิวยิ่งคล้ำหรือไวต่อการไหม้แดดกว่าเดิม ทางที่ดีควรใช้ตอนกลางคืน และทาครีมกันแดดทุกเช้าไม่ให้ขาด อีกข้อสำคัญคือไม่ควรใช้ร่วมกับเรตินอยด์หรือกรดตัวอื่นๆ ในครั้งเดียวกัน
2 / 3
2.BHA (Beta Hydroxy Acid)
BHA (Beta Hydroxy Acid) ที่เราน่าจะคุ้นเคยกันมากที่สุดคือ Salicylic Acid ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นคือสามารถละลายในน้ำมัน จึงซึมลึกเข้าสู่รูขุมขน ช่วยละลายสิ่งอุดตัน ลดความมันส่วนเกิน และลดการเกิดสิวหัวดำ สิวอุดตัน ไปจนถึงสิวอักเสบ นอกจากนี้ BHA ยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ จึงมีส่วนช่วยปลอบประโลมผิวได้ด้วย
เหมาะกับใคร: เหมาะสำหรับผิวมันและผิวที่เป็นสิวง่าย BHA จะเป็นเหมือนตัวช่วยเสริมทัพให้รูขุมขนสะอาดขึ้น ความมันลดลง และปัญหาสิวเบาบางลง
ข้อควรระวังในการใช้: ควรเลือกระดับความเข้มข้นให้เหมาะกับผิว และไม่ควรใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวอื่นๆ ในวันเดียวกัน เพราะอาจทำให้ผิวแห้งหรือลอกเป็นขุย ทางที่ดีควรเริ่มจากสัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง เพื่อให้ผิวได้ปรับตัวก่อน
3 / 3
3.PHA (Polyhydroxy Acid)
PHA (Polyhydroxy Acid) เปรียบเป็นญาติสนิทของ AHA แต่มีโมเลกุลที่ใหญ่กว่า ทำให้ซึมเข้าสู่ผิวช้าลง และอ่อนโยนต่อผิวมากกว่า จุดเด่นอยู่ที่การผลัดเซลล์ผิวแบบค่อยเป็นค่อยไป ช่วยลดความหมองคล้ำ เติมความชุ่มชื้น และยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้นอีกขั้น
เหมาะกับใคร: เหมาะสำหรับคนที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย หรือเพิ่งผ่านการทำเลเซอร์มา รวมถึงคนที่เคยใช้ AHA หรือ BHA แล้วมีปัญหาแสบผิวหรือผิวลอก
ข้อควรระวังในการใช้: แม้จะอ่อนโยนในบรรดากรดทั้ง 3 ตัว แต่ผลลัพธ์ของ PHA จะเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงเป็นทางเลือกของคนไม่รีบ แนะนำให้เริ่มใช้สัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง เพื่อให้ผิวได้มีเวลาปรับตัว และที่สำคัญคืออย่าลืมทาครีมกันแดดทุกเช้าด้วย
สุดท้ายนี้ การเลือกใช้กรดผลัดเซลล์ผิว ไม่ว่าจะเป็น AHA, BHA หรือ PHA แม้จะเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวและผลลัพธ์ที่ต้องการแล้ว อีกสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือการเลือกระดับความเข้มข้นที่เหมาะสมกับความทนของผิว แนะนำให้เริ่มใช้ทีละน้อย เพื่อให้ผิวมีเวลาปรับตัว และลดความเสี่ยงต่อการระคายเคืองหรืออาการแสบผิวที่อาจเกิดขึ้นได้

