ค่า pH

SKINCARE

ค่า pH สำคัญกับผิวแค่ไหน? มีค่าเท่าไรถึงจะเรียกว่าสมดุล

สิ่งที่เรียกว่าค่า pH คืออะไร ทำไมถึงควรปรับให้สมดุลอยู่เสมอ

โดย Panyabhassara Promchaiwattana
19 มิถุนายน 2568

         ค่า pH ย่อมาจากคำว่า ‘Potential of Hydrogen’ ซึ่งเป็นหน่วยวัดความเป็นกรด-ด่างของสารใดๆ ค่า pH จะมีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 14 โดยทั่วไปผิวหนังที่สมดุลและแข็งแรงจะมีค่า pH อยู่ที่ประมาณ 4.5 - 5.5 ซึ่งเป็นช่วงของกรดอ่อนๆ ที่เหมาะสมต่อการทำงานของเอนไซม์และจุลินทรีย์ที่ดีบนผิว และช่วยรักษาความชุ่มชื้น หากค่า pH ของผิวสูงหรือต่ำเกินไป อาจส่งผลให้เกิดปัญหาผิวตามมาได้

 

ทำไมค่า pH จึงสำคัญต่อผิว 

  1. ผิวหนังมีของเราชั้นกรดบางๆ ที่ปกคลุมอยู่ด้านบนสุด ทำหน้าที่เป็นเกราะธรรมชาติ ป้องกันเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา รวมถึงลดการสูญเสียน้ำ ค่า pH ที่เป็นกรดอ่อนจะช่วยให้เกราะนี้ทำงานได้ดีที่สุด
  2. ส่งเสริมการผลัดเซลล์ผิว เพราะค่า pH ที่สมดุลช่วยให้กระบวนการผลัดเซลล์ผิวเป็นไปอย่างราบรื่น ผิวเรียบเนียนและลดการอุดตันของรูขุมขนได้ดี
  3. ลดอาการระคายเคือง หากค่า pH ผิวสูงขึ้น จะทำให้เอนไซม์บางชนิดทำงานผิดปกติ จึงทำให้เกิดอาการระคายเคือง คัน หรือผิวแห้งลอกง่าย
Article

ปัจจัยอะไรที่มีผลกระทบต่อค่า pH ของผิว 

1. ฮอร์โมน ในแต่ละช่วงของรอบเดือน 

ฮอร์โมนในร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะสูงขึ้น ทำให้ผิวมันมากขึ้น ค่า pH อาจลดลงเล็กน้อย หรือช่วงมีประจำเดือน ผิวอาจแห้งและอ่อนแอลง เพราะค่า pH อาจสูงขึ้น

2. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว

การล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีส่วนผสมของ Sodium Lauryl Sulfate หรือ SLS ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดฟองที่มีความเป็นเบสสูงมาก เมื่อล้างเสร็จอาจทำให้ผิวแห้งจนเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด ทางที่ดีควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคำว่า ‘pH-balance’ มีค่า pH ประมาณ 5.0 - 5.5 ซึ่งใกล้เคียงกับค่า pH ตามธรรมชาติของผิว  หลีกเลี่ยงสบู่หรือโฟมล้างหน้าที่มีค่า pH สูงกว่า 7 เพราะมักจะทำให้ผิวแห้งตึงและเสี่ยงต่อการอักเสบ

3. อาหาร

อาหารที่เรากินมีผลต่อค่า pH ผิว เช่น อาหารที่ทำให้ร่างกายเป็นกรดอย่าง เนื้อแดง น้ำตาล แป้งขัดขาว อาหารแปรรูป อาหารทอด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และน้ำอัดลม อาหารเหล่านี้อาจเพิ่มความเป็นกรดในเซลล์และรบกวนจุลินทรีย์ดีบนผิวหนัง ทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอและค่า pH ของผิวเสียสมดุลได้

4. สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม

อากาศที่มีความชื้นสูงหรือเหงื่อออกมาก ทำให้ผิวเป็นกรดมากขึ้น รวมถึงมลภาวะ ฝุ่น ควัน และแสงยูวี ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีส่วนทำให้เกราะผิวอ่อนแอและค่า pH เปลี่ยนแปลงได้

 

 ปัญหาผิวที่เกิดจากค่า pH ไม่สมดุล

  1. สิว : ค่า pH ที่ด่างเกินไปทำให้แบคทีเรียที่ก่อสิว เช่น C.acnes เจริญเติบโตได้ดีขึ้น รวมถึงทำให้เกิดรูขุมขนอุดตันง่ายขึ้นจากการอักเสบ เกิดสิวอุดตัน
  1. ผิวแห้งลอกเป็นขุย : เมื่อเกราะป้องกันผิวเสียหาย ผิวสูญเสียน้ำได้ง่าย ทำให้ผิวแห้ง แตก ลอก ไม่เรียบเนียน บางคนอาจรู้สึกแสบตึงหลังล้างหน้าหรืออาบน้ำเสร็จ
  1. ผิวระคายเคืองง่าย แพ้ง่าย : ผิวที่ไวต่อแสงแดด ฝุ่น อากาศ แอลกอฮอล์ หรือแม้แต่ครีมบำรุง มักมีอาการแสบ คัน แดง 
  1. ริ้วรอยก่อนวัยผิวที่ไม่สมดุลจะเร่งกระบวนการสูญเสียคอลลาเจนและอิลาสติน รวมถึงชะลอการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ส่งผลให้เกิดริ้วรอยเล็กๆ ความหย่อนคล้อย หรือความหมองคล้ำได้ง่ายขึ้น
Article

 

วิธีปรับสมดุลค่า PH ผิวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็น ‘pH-Balanced’ 

มองหาคำว่า ‘pH-balanced’, ‘soap-free’, หรือ ‘gentle cleanser’ บนฉลากของผลิตภัณฑ์ พยายามหลีกเลี่ยงสบู่หรือโฟมที่มี pH สูงเกิน 7 เพราะอาจทำลายเกราะป้องกันผิวได้

2. รักษาความชุ่มชื้นของผิวให้เพียงพอ

ผิวที่ชุ่มชื้นดีจะสามารถควบคุมค่า pH ได้ดีกว่าผิวแห้ง แนะนำให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมเช่น เซราไมด์, กรดไฮยาลูรอนิก หรือกลีเซอรีน ซึ่งจะเป็นส่วนผสมที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นและรักษาเกราะป้องกันผิวได้ดี

3. ปรับพฤติกรรมการกิน

อาหารที่ดีต่อสมดุลผิว เช่น ผักใบเขียว ผลไม้หลากสี ถั่ว ธัญพืช ปลาแซลมอน หลีกเลี่ยงการกินของทอด น้ำตาลสูง แป้งขัดขาว อาหารแปรรูปมากๆ และควรเสริมด้วยอาหารที่มีโปรไบโอติกส์ เช่น กิมจิ โยเกิร์ต หรือน้ำส้มสายชูจากแอปเปิ้ลหรือไซเดอร์หมัก เพราะดีต่อสมดุลจุลินทรีย์และผิวของเรา

4. จัดการความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ

รู้หรือไม่ว่าความเครียดส่งผลต่อฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบได้ ทำให้ค่า pH ของผิวเสีย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาผิวต่างๆ ตามมาได้ นอกจากนี้ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะในขณะที่เรานอนหลับ ร่างกายจะซ่อมแซมผิวและปรับค่า pH ให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ภาพ : Freepik
TAGS : pH, Skincare, Face, Body