หลายคนอาจคุ้นเคยกับการดีท็อกซ์ร่างกาย แต่รู้หรือไม่ว่า ‘หนังศีรษะ’ เองก็ต้องการดีท็อกซ์ไม่แพ้ผิวส่วนอื่นๆ เพราะในแต่ละวัน หนังศีรษะต้องเผชิญกับสิ่งสกปรกและมลภาวะต่างๆ ตั้งแต่เหงื่อ ความมัน สารตกค้างจากแชมพู ครีมบำรุงผม หรือผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม รวมถึงเซลล์ผิวที่ตายสะสม หากสะสมมากเกินไป จะทำให้รูขุมขนอุดตัน เส้นผมมันเร็ว คันหนังศีรษะ หรือแม้แต่ผมร่วง การดีท็อกซ์หนังศีรษะด้วยสครับจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยรีเซ็ตหนังศีรษะให้กลับมาสะอาด กระตุ้นการไหลเวียนเลือด และทำให้รากผมทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ โว้กบิวตี้พามาเจาะลึกความสำคัญของการดีท็อกซ์หนังศีรษะที่ควรรู้
-
ทำไมการดีท็อกซ์หนังศีรษะถึงสำคัญ?
- ลดการอุดตันของรูขุมขน หนังศีรษะมีต่อมไขมันที่ทำงานตลอดเวลา ทำให้เกิดความมันสะสมได้ง่าย โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในเมือง มีมลภาวะมาก หรือใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมเป็นประจำ เซลล์ผิวที่ตายและคราบไขมันจะอุดตันรูขุมขน ทำให้ผมมันเร็วหรือเกิดรังแค การสครับช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า และกำจัดสิ่งสกปรกออก ทำให้รูขุมขนสะอาด พร้อมรับสารอาหารได้ดีขึ้น
- ช่วยให้ผมยาวเร็วและแข็งแรงขึ้น เมื่อรูขุมขนไม่อุดตัน การไหลเวียนเลือดบริเวณรากผมจะดีขึ้น ส่งผลให้เส้นเลือดนำสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงรากผมได้เต็มที่ ทำให้ผมงอกเร็วขึ้น แข็งแรงขึ้น และลดปัญหาผมร่วงจากหนังศีรษะอ่อนแอ การดีท็อกซ์เป็นเหมือนการเตรียมดินก่อนปลูกพืช เพื่อให้รากผมได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่
- ลดความมันและความคันของหนังศีรษะ ความมันส่วนเกินและเซลล์ผิวที่ตายสะสมเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการคันหรือรังแค การสครับช่วยขจัดสิ่งเหล่านี้ ทำให้หนังศีรษะรู้สึกสะอาด เบาสบาย และลดความคันได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผมดูสดชื่น ไม่ลีบแบน หรือเหนียวเหนอะหนะ
- เพิ่มประสิทธิภาพของแชมพูและทรีตเมนต์ หนังศีรษะที่สะอาดคือพื้นฐานที่ดีสำหรับการบำรุงเส้นผม การดีท็อกซ์ช่วยให้แชมพู เซรั่ม หรือโทนิคบำรุงรากผมซึมเข้าสู่หนังศีรษะได้ดีขึ้น ทำให้สารอาหารทำงานเต็มที่และเห็นผลเร็วขึ้น
Photo by Karola G from Pexels
-
ควรดีท็อกซ์หนังศีรษะบ่อยแค่ไหน?
โดยทั่วไปแนะนำให้ดีท็อกซ์สัปดาห์ละ 1 ครั้ง สำหรับคนที่ผมมันหรือใช้สไตลิ่งบ่อย สำหรับคนผิวแห้งหรือแพ้ง่าย แนะนำทำทุกๆ 10–14 วัน เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง และควรสังเกตสภาพหนังศีรษะของตัวเองว่าตอบสนองอย่างไร ถ้าหากมีรังแคหรือคันมาก อาจปรับเป็นครั้งละสองสัปดาห์ได้
-
ประเภทของสครับหนังศีรษะ
- สครับเกลือธรรมชาติ ช่วยผลัดเซลล์ผิวและขจัดความมันสะสมได้อย่างล้ำลึก เม็ดสครับให้ความรู้สึกกระชับหนังศีรษะ และยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้รากผมแข็งแรง เหมาะกับคนผมมันหรือผู้ที่ใช้สไตลิ่งหนัก แต่ควรใช้ครั้งละไม่เกิน 1–2 นาทีต่อรอบการสระ เพื่อไม่ให้ระคายเคือง
- สครับน้ำตาล เม็ดสครับน้ำตาลละมุนกว่าเกลือ ทำให้เหมาะกับผู้ที่หนังศีรษะแพ้ง่ายหรือแห้ง ช่วยผลัดเซลล์ผิวโดยไม่ทำให้หนังศีรษะแห้งตึง นอกจากนี้ยังช่วยให้ผมมีความชุ่มชื้น และสามารถใช้ร่วมกับน้ำมันบำรุงผมเพื่อให้ความนุ่มหลังสระ
- สครับสูตรโคลน (Clay-based) ช่วยดูดซับความมันและสิ่งสกปรกจากมลภาวะได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองหรือมีหนังศีรษะมันง่าย นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมความมันและปลอบประโลมหนังศีรษะ ให้รู้สึกสะอาดและสดชื่น
- สครับแบบโฟมหรือเจล (Chemical Exfoliant) สครับบางชนิดใช้กรดอ่อนๆ เช่น AHA หรือ BHA เพื่อผลัดเซลล์ผิวแบบไม่ต้องถูแรง เหมาะสำหรับผู้ที่หนังศีรษะแพ้ง่ายหรือมีสิวง่าย การใช้สครับแบบนี้ช่วยลดความระคายเคืองและยังช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวให้เรียบเนียน
Scalp & Body Scrub Melrose Place (ราคา 1,850 บาท) จาก OUAI
-
วิธีเตรียมหนังศีรษะก่อนสครับ
การเตรียมหนังศีรษะก่อนสครับเป็นสิ่งสำคัญมาก หากทำผิดวิธีอาจระคายเคืองหรือเกิดรอยแดงได้ แนะนำให้เริ่มจากการใช้น้ำอุ่นล้างผมให้หมาดๆ และสระเบาๆ ด้วยแชมพูเพื่อขจัดสิ่งสกปรกบางส่วน แบ่งผมเป็นช่อเล็กๆ เพื่อให้สครับเข้าถึงหนังศีรษะทุกส่วน ไม่พลาดตรงโคนผมหรือท้ายทอย หลีกเลี่ยงการขัดแรงเกินไป ใช้อุ้งนิ้วมือนวดเบาๆ เป็นวงกลมเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนและผลัดเซลล์ผิว ไม่ควรใช้เล็บจิกแรง เพราะอาจทำให้หนังศีรษะแพ้หรือเป็นแผล
-
สิ่งที่ควรระวังหลังการดีท็อกซ์หนังศีรษะ
หลังสครับหนังศีรษะเสร็จ มีข้อควรระวังหลายอย่างเพื่อให้หนังศีรษะฟื้นตัวและคงสุขภาพดี เพราะหลังสครับหนังศีรษะอาจแห้งเล็กน้อย ควรตามด้วยการใช้ครีมหรือเซรั่มบำรุงหลังสครับ การบำรุงด้วยเซรั่มหรือน้ำมันบำรุงผมจะช่วยให้ผมชุ่มชื้นและลดการคัน รวมถึงหลีกเลี่ยงสไตลิ่งทันที ไม่ควรใช้เจลหรือสเปรย์จัดแต่งทรงผมทันทีหลังสครับ เพราะหนังศีรษะอาจยังไวต่อสารเคมี และหากมีอาการแดงมาก คันรุนแรง หรือเกิดผื่น ควรหยุดใช้สครับชั่วคราว และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ การดูแลหลังสครับจะช่วยให้หนังศีรษะสมดุล ผมแข็งแรง และผลลัพธ์จากการดีท็อกซ์ยาวนานมากขึ้น
