ถือเป็นอีกหนึ่งข่าวน่าติดตามของวงการจิวเวลรีชั้นสูง เมื่อล่าสุดแบรนด์จิวเวลรีในตำนานอย่าง Tiffany & Co. ได้เปิดตัวสร้อยคอเพชรสวยสะกด ซึ่งสร้อยคอเส้นดังกล่าวถูกเปิดตัวไปอย่างเป็นทางการในเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยรายละเอียดของสร้อยคอเส้นนั้นประดับรวมไว้ด้วยเพชรพลอยรวมกว่า 180 กะรัต ซึ่งตรงใจกลางของสร้อยนั้นเป็นแพลตทินัมรูปวงรีขนาดใหญ่ขนาด 80 กะรัตไร้ตำหนิ ที่ทางแบรนด์ Tiffany & Co. ตั้งชื่อให้ว่า "The Empire Diamond" นั่นเอง

     ความน่าสนใจของสร้อยคอเส้นนี้ยังอยู่ที่การประเมินราคา ซึ่งทางแบรนด์เองยังไม่ได้ออกมาคอนเฟิร์มอย่างเป็นทางการ ทว่าผู้เชี่ยวชาญด้านจิวเวลรี และเครื่องเพชรหลายคนต่างพูดเป็นเพียงเดียวกันว่า ราคาของสร้อยเส้นนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 20-30 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นอย่างต่ำ ซึ่งจะเป็นรองแค่จิวเวลรีเพชรในตำนานของแบรนด์ทิฟฟานี่อย่าง “Tiffany Diamond" ขนาด 128.54 กะรัตเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันไม่มีการซื้อขายเพรดังกล่าวกันแล้ว และแบรนด์เองก็เคยให้คำจำกัดความเอาไว้ด้วยว่าเป็นเพชรที่ประเมินค่าไม่ได้ (ทำให้ตอนนี้เพชร The Empire Diamond ขึ้นแท่นเป็นเพชรที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ที่ยังหาซื้อได้อยู่เรียบร้อย)

     อย่างไรก็ตาม ทางแบรนด์เองยังได้ออกมาให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ The Empire Diamond ที่ถูกประดับเอาไว้บนสร้อยเพชรเส้นนี้ว่า เป็นเพชรที่ถูกขุดค้นเจอในบอตสวานา ก่อนที่จะถูกส่งไปเจียระไนต่อในประเทศอิสราเอล โดยผู้ที่จะได้เป็นเจ้าของในอนาคตนั้นจะได้รับบริการจากผู้เชี่ยวชาญประจำแบรนด์ตลอดชีวิต อีกทั้งยังมีบริการพิเศษในการถอดเอาเพชรเม็ดนั้นออกมาจากสร้อยเส้นดังกล่าว และนำไปสวมใส่เป็นแหวนเพชรได้ด้วยอีกหนึ่งรูปแบบ ซึ่งบริการนี้ก็จะรวมอยู่ในบริการดูแลรักษาตลอดชีวิตเช่นเดียวกัน

     

     ทั้งนี้ในการเปิดตัวดังกล่าว Victoria Reynolds หัวหน้าฝ่ายออกแบบและสร้างสรรค์งานของแบรนด์ Tiffany & Co. คนล่าสุด ก็ยังได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยว่า  “ฉันคิดว่ามันเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ของเราในฐานะของราชาแห่งเพชรตลอด 185 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งมันยังเป็นความต่อเนื่องของมรดกและประวัติศาสตร์ที่ถูกส่งต่อกันมาอย่างน่าเหลือเชื่อ และแน่นอนว่ามันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอของแบรนด์ไปแล้วเรียบร้อย ที่ต้องการจะมุ่งพัฒนาวงการจิวเวลรีชั้นสูงให้สร้างสรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ และค้นหาความหน้าตื่นเต้นในโลกของจิวเวลรีที่รอเราอยู่ข้างหน้าอีกมากมาย"