ช่างภาพ: ธาเกียรติ ศรีวุฒิชาญ
สไตลิสต์: สลาลี สมบัติมี
นางแบบ: จรินทร์พร จุนเกียรติ
ช่างแต่งหน้า: ชัยดิษฐ์ สมทรง
ช่างผม: สิริการย์ จันทนยิ่งยง
ผู้ช่วยสไตลิสต์: ธิดาวรรณ สุทธิชัย
อาร์ตไดเร็กเตอร์: วิวาน วรศิริ
กราฟฟิก: บพิตร วิเศษน้อย
บทความและสัมภาษณ์: พีรณัฐ จันทร์สกุลณี
----------------------------------------------------------------------------
ย้อนกลับไปราว 18 ปีที่แล้ว ในยุคที่เว็บบอร์ดบนโลกอินเทอร์เน็ตกำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุด “เต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ” กลายเป็นเด็กสาวที่ได้รับความสนใจจากผู้คนในสังคมอย่างมาก ด้วยรูปลักษณ์ที่น่ารักและรอยยิ้มที่สะดุดตาใครหลายคน ซึ่งเป็นหนึ่งในประตูบานแรกที่เปิดให้เธอก้าวเข้ามาสู่การทำงานในวงการบันเทิง กระทั่งพิสูจน์ฝีมือของตัวเองมานานเกือบ 2 ทศวรรษเพื่อเป็นนักแสดงหญิงแถวหน้าของวงการบันเทิงอย่างเช่นในปัจจุบัน ซึ่ง #VOGUEMORE ครั้งนี้ ได้พาทุกคนหวนกลับไปรู้จักกับเต้ยอีกครั้ง ผ่านประสบการณ์การเดินทางบนเส้นทางบันเทิงอันยาวนาน ในโททัลลุคจากแบรนด์ LOEWE คอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว ปี 2023 โดยฝีมือการสร้างสรรค์ของ Jonathan Anderson ที่นำเสนองานศิลปะบนเสื้อผ้าและแฟชั่นไอเท็มสะดุดตาอีกครั้ง

เต้ยเริ่มบทสนทนากับโว้กในอิริยาบถสบายๆ ในห้องแต่งตัวระหว่างการถ่ายแบบครั้งนี้ พร้อมกระบอกน้ำขนาดใหญ่ที่ติดตัวไว้เสมอ ราวกับเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับความสวยประจำตัว โดยเต้ยเริ่มเล่าให้โว้กฟังว่า “ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะมาไกลได้ถึงขนาดนี้ด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นคิดแค่ว่าเล่นสนุกไปเรื่อยๆ เพราะเป็นยุคที่เพิ่งจะมีอินเทอร์เน็ตและเว็บบอร์ดต่างๆ เข้ามา จนมีคนเอารูปไปโพสต์ตามเว็บบอร์ดต่างๆ ทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น และพอได้ไปเดินเล่นสยาม ก็มีแม็กกาซีนมาขอถ่ายรูป กระทั่งมีคนแนะนำให้ไปแคสต์งาน ซึ่งเราก็เริ่มจากตรงนั้น เพราะเราอยากหารายได้ เพื่อเอาไปซื้อพวกแฟชั่นไอเท็มที่ชอบ เพราะเป็นคนที่ชอบแฟชั่นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็ชอบแต่งตัวมาก ซึ่งช่วงแรกที่ทำงานก็คือเราใช้ช็อปปิ้งหมดเลย” เต้ยโพล่งหัวเราะตัวเองขึ้นมาทันทีเมื่อพูดประโยคสุดท้ายจบ เมื่อนึกถึงความไม่เดียงสาตอนที่ตัวเองยังเป็นเด็กสาว
เต้ยเล่าต่อไปว่า “จนกระทั่งได้ไปประกวดเวทีหนึ่ง เพราะมีโมเดลลิ่งส่งไป แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้อยากทำแล้วเพราะว่าดูจะไม่ใช่ทางของเรา แต่ว่าถ้าชนะก็จะได้เงินแสน เราก็เลยลองไปดู เพราะจำนวนเงินก็ไม่น้อย (หัวเราะ) นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นที่ได้เข้ามาทำงานในวงการมากขึ้น ได้เริ่มเล่นละครเป็นเรื่องแรกที่หลายคนรู้จักอย่าง “อุบัติรักข้ามขอบฟ้า” ก่อนที่จะกระโดดมาเล่นภาพยนตร์เรื่อง “หนีตามกาลิเลโอ” ที่เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนในชีวิตการแสดงก็ว่าได้”

เต้ยยังสารภาพกับโว้กอีกว่า ตอนนั้นยังไม่คิดด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เธอทำอยู่เป็นอาชีพนักแสดง เธอแค่คิดว่าเธอแค่ทำงานเฉยๆ ไม่ได้แปะป้ายตัวเองว่าเป็นนักแสดงด้วยซ้ำ จนได้มาเล่นภาพยนตร์ของ เต๋อ-นวพล เรื่อง “มั่นใจคนไทยเกินหนึ่งล้านคนเกลียดเมธาวี” แล้วก็เรื่อง “Countdown” ซึ่งนั่นเองคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เธอรู้ว่า เธอรักการแสดงมากแค่ไหน...
“สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Countdown นี่ไปสุดทางมากๆ ที่ตัดสินใจรับบทนี้ ก็เพราะแค่อยากลอง เพราะเป็นคนที่ชอบท้าทายตัวเองอยู่แล้ว และพอเวลาที่มีบทบาทอะไรใหม่ๆ เข้ามาก็จะรู้สึกว่าอยากรับ ตอนนั้นที่จำได้คือเขาโทรมาบอกเลยว่าต้องตัดผมสั้นนะ ซึ่งเราก็ตอบรับเลย มันท้าทายมาก แต่ก็โหดมากเหมือนกัน” เต้ยเล่าต่อไป
จากประสบการณ์ที่ผ่านงานแสดงมาทั้งในฝั่งละครและภาพยนตร์ โว้กจึงถามเต้ยว่าทั้งสองอย่างนั้นต่างกันอย่างไร ซึ่งเธอก็ตอบสวนมาทันทีว่า “เราว่าการสวมบทบาทเป็นตัวละครในละคร กับตัวละครในภาพยนตร์ มันไม่ได้ต่างกัน เพราะการแสดงก็คือการแสดง”

“แล้วตัวละครอะไรล่ะ ที่เต้ยยังคิดถึงมันจนถึงทุกวันนี้”
“ตัวละครที่รู้สึกว่าคิดถึงอยู่ตลอดเลย ถ้าตอบตอนนี้ก็คือ มาตาลดา ดูจะใกล้ที่สุด และชอบมากๆ ที่สุดในตอนนี้ แต่ถ้าย้อนกลับไปไกลๆ ก็น่าจะเป็นตัวละคร บี ใน Countdown เพราะเขาโหดกับเต้ยมากจริงๆ และหนังก็ออกมาโหดมากเหมือนกัน ซึ่งเรื่องนั้นทำให้เต้ยเรียนรู้อะไรค่อนข้างเยอะมาก แล้วอีกเรื่องก็ จูน จากเรื่อง Timeline ก็ประทับใจมาก เพราะได้รางวัลสุพรรณหงส์จากภาพยนตร์เรื่องนั้น”
หลังจากที่นั่งไล่นึกบทบาทที่ยังคงประทับใจมาจนถึงปัจจุบันอยู่พักใหญ่ ก็ทำให้เต้ยและโว้กรู้ได้ทันทีว่า เธอสวมมาแล้วหลายบทบาทจริงๆ แต่คนมักจะติดภาพบทบาทตัวละครใสๆ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย เธอเล่นมาตั้งแต่บทหวานจนโหดเกินจะจินตนาการได้มาแล้วทั้งสิ้น และโว้กเชื่อว่าเธอก็ยังจะคงท้าทายตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ

เต้ยยกกระบอกข้างกายขึ้นดื่มหนึ่งอึกใหญ่ ก่อนจบบทสนทนากับโว้กด้วยเป้าหมายที่เธอวางเอาไว้ในอนาคตว่า “คือเราคิดว่าที่เรามาได้ไกลขนาดนี้ มันดีมากๆ แล้วนะ แต่ถ้าถามเต้ย เอาแค่ในเฉพาะวงการบันเทิงนะ เราอยากลองไปทำงานต่างประเทศดู อยากไปทำงานกับทีมโกลบัล ไม่ว่าจะเป็นงานแสดงหรืองานแฟชั่นก็ตาม...”

