Vogue Thailand

RUNWAY

Emporio Armani S/S 25 วิถีแห่งความเท่าเทียมกับจุดหลอมละลายขอบเขตเพศที่นุ่มนวลแต่ทรงพลัง

Giorgio Armani หวนคืนความทรงจำสู่การพัฒนาแฟชั่นที่เสิร์ฟมิติความเท่าเทียมและเปลี่ยนแปลงในโลกแฟชั่นในอดีตที่สะท้อนภาพมันยังคงเชื่อมโยงกับสังคมปัจจุบัน

โดย Nattanam Waiyahong
20 กันยายน 2567

‘Emporio Armani S/S 2025: Changing with No Change’

นับตั้งแต่ต้นจนจบโชว์จำนวนลุครวม 114 ลุคทั้งสำหรับหญิงและชายหลอมรวมกันเป็นโชว์คอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2025 ของ Emporio Armani ภายใต้คอนเซปต์ ‘Future Perfect’ ที่ขยายกรอบเรื่องความเท่าเทียมดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นเรื่องที่ไม่ใหม่ แต่ก็ไม่เก่าเสียทีเดียว เรื่องราวการเล่าขานของความเท่าเทียมทางเพศกำลังถูกผลิตซ้ำอยู่ร่ำไป ซึ่งในคอลเล็กชั่นนี้ ดีไซเนอร์อิตาเลียนระดับตำนานขึ้นหิ้งก็หยิบจับมันมาเปิดโชว์ด้วยผลงานเทเลอริ่งอันเฉียบคมที่ขาดไม่ได้ แต่มันกลับไม่ได้เปิดฉากโดยนายแบบ แต่เป็นทัพนางแบบที่พร้อมใจกันสวมสูทผูกไทในสี ‘Neutral’ บ่งบอกถึงความเป็นเส้นแบ่งที่หลอมละลายไปพร้อมขนบธรรมเนียมและแนวคิดเชิงสังคมอันล้าหลังที่ค่อยๆ มลายหายไป

“การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เปลี่ยนไป” ความคาดเดาไม่ได้อาจเป็นเรื่องที่ทำให้ตื่นเต้น ในอีกมุมหนึ่งสิ่งที่คาดเดาได้ก็อาจเป็นส่วนสำคัญที่ส่งสารถึงระบอบวิถีแฟชั่นยุคใหม่ เมื่อชมโชว์สักพักจะพบว่าผู้หญิงก็สวมสูท สวมกางเกง ผู้ชายก็สวมเสื้อผ้าในลักษณะคล้ายกัน ความกลมกลืนเป็นสัญญะสะท้อนภาพแฟชั่นภายใต้แนวคิดที่เน้นย้ำงานเทเลอริ่งอันเนี้ยบประณีตของ Giorgio Armani ที่สามารถลื่นไหลไปได้โดยไม่ได้จำกัดเรื่องเพศแต่อย่างใด ‘Soft Tailoring’ บนรันเวย์ครั้งนี้คือชิ้นงานศิลปะที่ทุกเพศสวมใส่กันได้อย่างเท่าเทียม

“ความเท่าเทียมที่ไม่ละทิ้งแฟชั่นในแบบฉบับดั้งเดิม” บนรันเวย์ครั้งนี้ไม่ได้ชวนให้เสพศิลปะที่นำเสนอความเท่าเทียมจนเอียนเลียนจนอ้าปากหาวในโชว์ดึกปิดท้ายมิลานแฟชั่นวีกวันที่ 3 เสื้อผ้าสำหรับหญิงและชายตามภาพจำดั้งเดิมก็มีพื้นที่เพื่อมิติอันกลมกล่อมด้วยเช่นกัน งานปักประดับ ลวดลายดอกไม้ ผ้าซีทรู กลิตเตอร์ เรื่อยไปความพลิ้วไหวของการจับระบาย ยังปรากฏขึ้นพร้อมกลิ่นอายเฟมินีน ในขณะเดียวกันนายแบบผู้ชายก็สวมสูทเนี้ยบกริบแบบแมสคิวลีนได้เช่นกัน หรือถ้าจะหลอมรวมสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันก็ถือเป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจที่ปรากฏขึ้นในช่วงท้ายของโชว์พอดิบพอดี

และแม้แบรนด์จะเปิดโชว์ด้วยโทนสีเบสิก แต่เมื่อเวลาผ่านไปสีเขียวหม่น และโทนสีชมม่วง-ชมพู อันเป็นดั่งพาเลตต์สีประจำซีซั่น (และอาจลากยาวถึงปีหน้า) ก็ค่อยๆ ปรากฏอย่างเด่นชัด ในขณะที่เสื้อผ้าของอาร์มานีไม่ได้หวือหวาแต่มันก็ค่อยๆ เดินเคียงคู่ไปกับยุคสมัย ผู้เขียนคงไม่ได้ให้มองภาพว่าผลงานของอาร์มานีคือศิลปะแฟชั่นโฉมใหม่ แต่มันก็เป็นดั่งสายธารที่ค่อยๆ แล่นไหลไปแบบเนิบๆ ในช่วงเวลาเดียวกันแอ็กเซสเซอรี่ทั้งแว่นกันแดด จิวเวลรี และกระเป๋าดูหวือหวาอยู่บ้างแต่กลับเรียบง่าย เปรียบดั่งสัญญะแห่งเวลาในอดีตเมื่อหลายทศวรรษก่อนที่ไหลเวียนผ่านไปแล้วเท่านั้น

สุดท้ายทุก ‘Element’ ของโชว์นี้หวนคืนสู่ภาพโปสเตอร์โปรโมตโชว์ตั้งแต่เริ่มแรกกับภาพนางแบบสวมเนกไทจากผลงานเก่าของจอร์โจ อาร์มานี ภาพอดีตที่ทรงอิทธิพลจนถึงปัจจุบันและอนาคต “กาลเวลาเปลี่ยนไปและทำให้ตระหนักรู้ว่าเราเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงตู้เสื้อผ้าและสิ่งรอบกายของคนทั่วโลก” ดีไซเนอร์ไอคอนิกกล่าวไว้แต่เนิ่นๆ มองในมุมหนึ่งโชว์นี้อาจเป็นนำเสนอคอลเล็กชั่นแสนธรรมดา ในอีกมุมคือภาพสะท้อนของแฟชั่นที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลัน และความเท่าเทียมไม่ใช่การสร้างบรรทัดฐานใหม่เอี่ยม แต่อาจหมายถึงความลื่นไหลที่หลอมรวมเป็นแฟชั่นอันไร้กรอบ ทั้งยังมีตัวเลือกสำหรับการนำเสนอตัวตนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งสะท้อนความหมายของวลีที่ว่า “การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เปลี่ยนไป” โดยจอร์โจ อาร์มานี ได้เหมาะเจาะพอดีกระมัง

 

ภาพ: Umberto Fratini / Gorunway.com (Vogue Runway)