Vogue Thailand

RUNWAY

Bottega Veneta S/S 2025 ส่วนผสมอันลงตัวของความวุ่นวายที่สวยงามและเอกลักษณ์ที่แปลกตา

Matthieu Blazy ขับมนต์เสน่ห์แฟชั่นในแบบฉบับของตัวเองผสมผสานกับแนวทางความวุ่นวาย แปลกตา และน่าตื่นเต้นในคอลเล็กชั่นนี้

โดย Manit Maneephantakun
22 กันยายน 2567

‘Bottega Veneta S/S 2025: Where the Wild Things Are’

Wow คือชื่อประจำโชว์คอลเล็กชั่น Spring/Summer 2025 ของ Matthieu Blazy สำหรับ Bottega Veneta เป็นการผสมผสานระหว่างความวุ่นวายที่สวยงาม กับความเป็นเอกลักษณ์ที่มีความแปลกตา ซึ่ง Blazy ยังคงแสดงให้เห็นถึงฝีมือการออกแบบและความเข้าใจในวัสดุอย่างลึกซึ้ง แต่เขาได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของความเรียบง่ายที่เป็นซิกเนเจอร์ของตัวเอง และสร้างสรรค์งานที่เล่าเรื่องราวผ่านโครงสร้างและรูปทรงที่ซับซ้อนมากขึ้น ผ่านการใช้นางแบบที่ถูกแปลงมาเป็นนักแสดงให้ในโชว์นี้มีความหลากหลายอย่างโดดเด่น ทั้งในด้านอายุ เชื้อชาติ และรูปร่าง ซึ่งทำให้โชว์มีความสดใหม่และเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น “ตอนเด็กๆ เรามักจะรู้สึกว่าทุกวันคือการผจญภัย ทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะดูเหนือจริงแค่ไหนก็ตาม เราไม่ถูกผูกมัดด้วยความคาดหวังหรือกฎเกณฑ์ตายตัว ประตูยังเปิดกว้างสู่ความเป็นไปได้ของความจริงที่แปลกประหลาดและน่าพิศวง สถานการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ที่สามารถขับไล่ความรู้สึกท้อแท้ นี่คือเรื่องของพลังแห่งความจริงใจเหนือการวางแผน” Matthieu Blazy กล่าว

หนึ่งในจุดที่น่าสนใจจากโชว์ของเขาทุกครั้งก็คือ การนำแรงบันดาลใจจากดีไซน์เฟอร์นิเจอร์มาสู่เสื้อผ้า ซึ่งในครั้งนี้ก็คือเบาะที่นั่งรูปสิงสาราสัตว์ต่างๆ แนว Animal Farm (Please!...Where is หมูเด้ง?!?) ด้วยรูปทรงที่อ่อนนุ่ม น่ารัก แต่ดูขี้เล่นและเฉียบแหลมเหมือนงานศิลปะและประติมากรรมที่ควรค่าแก่การสะสม มันเป็นการสื่อถึงไลฟ์สไตล์ของ Bottega Veneta ที่ความหรูหราไม่ใช่แค่สิ่งที่สวมใส่ แต่เป็นวิถีการใช้ชีวิต ความต่างระหว่างเส้นสายที่ชัดเจนและรายละเอียดที่ดู "ยุ่งเหยิง" เช่น หมวกดีไซน์แปลกตาและเสื้อลายตารางขนาดใหญ่ สร้างความเฉียบแหลมปนตึงเครียดทางสายตาที่ทำให้คอลเล็กชั่นนี้คาดเดาไม่ได้และน่าสนใจ


คอลเล็กชั่นนี้ยังดูเหมือนจะเป็นการผสมผสานระหว่างแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมหลายแบบ จากการหยิบยกไอเดียจาก Animal Farm ไปจนถึง Wall-E ที่ผสมผสานระหว่างจินตนาการแนวอนาคตและความเป็นจริงที่สะท้อนถึงโลกปัจจุบัน โชว์นี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเล่าเรื่องราวผ่านแฟชั่นที่เหนือจริง เพลงประกอบของโชว์ก็หลากหลายเช่นกัน ตั้งแต่ “Mmmbop” โดย Hanson ที่ทั้งดูกวนๆ ขี้เล่นและ nostalgic, “Elegy for Dunkirk” เพลงประกอบจากภาพยนตร์สุดซึ้ง Atonement ที่ให้ความรู้สึกเศร้าและสะเทือนใจ ไปจนถึงเพลง “When We're Older” ของ James Blake ที่เพิ่มบรรยากาศหม่นๆ แต่คลาสสิก ส่วน “Sonata No.14 in C-Sharp Minor” ของ Beethoven ก็ช่วยเสริมสร้างความรู้สึกครุ่นคิดและเข้ากับบรรยากาศของโชว์ได้อย่างดี


สำหรับเสื้อผ้า มีการผสมผสานระหว่างโครงสร้างที่ชัดเจนกับความสนุกที่ซ่อนอยู่ในรายละเอียด เช่น กางเกงขาข้างเดียวที่สร้างสไตล์ใหม่ให้กับเสื้อผ้าอย่างมีอารมณ์ขัน เสื้อเชิ้ตลายตารางถูกจัดวางให้ดูทั้งสตรีตและเป็นทางการในเวลาเดียวกัน เป็นการแสดงความเคารพต่อเทรนด์แฟชั่นประจำซีซั่นอย่างชุดยูนิฟอร์มประจำวัน แต่ถูกยกระดับขึ้นอย่างชาญฉลาด พรสวรรค์ของ Blazy ในการผสมผสานระหว่างอดีตและอนาคตนั้นแสดงออกอย่างชัดเจน ผ่านการใช้พื้นผิวและรูปทรงที่แตกต่างกัน ผ้าเมทัลลิกและวัสดุที่มีประกายแวววาวถูกนำมาใช้คู่กับหนังสีดำและลายฝอย เพื่อสร้างเอฟเฟกต์ที่ให้ความรู้สึกหรูหราแต่อยู่ในขอบเขตของความเรียบง่าย อีกจุดเด่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือแอ็กเซสเซอรี่ เช่น หมวกหนังและลายพิมพ์ดอกไม้และกราฟิกแนววินเทจ เพิ่มความสนุกและแปลกใหม่ให้กับโชว์นี้ เช่นเดียวกับชิ้นขายทั้งกระเป๋า รองเท้า ที่ดีไซเนอร์หนุ่มหล่อคนนี้มีให้เลือกสรร แต่จัดวางแทรกซ่อนอยู่ในแต่ละลุคได้อย่างมีชั้นเชิงของความเป็นนักขายระดับรางวัลการันตี สีสันในโชว์ถูกคุมโทนอย่างดี โดยเน้นความหลากหลายที่สีดำ ขาว แดงก่ำ ม่วง ส้ม ฟ้า เหลือง ชมพู มีการแซมลายดอกไม้หรือสีทองเป็นระยะๆ ที่ทำให้นึกถึงความหรูหรา แต่ก็ไม่ได้ดูโอเวอร์เกินไป


คอลเล็กชั่นนี้เป็นตัวอย่างที่ดีในการจัดการความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างที่แข็งแรงและความพลิ้วไหวของผ้า หรือการผสมผสานระหว่างอดีตและอนาคต Blazy แสดงให้เห็นอีกครั้งถึงความสามารถในการพา Bottega Veneta ไปสู่มิติใหม่ๆ ขณะที่ยังคงรักษาความเป็นแบรนด์หรูที่เน้นความเรียบง่ายและคุณภาพของงานฝีมือไว้ได้ แต่ในความยุ่งเหยิงและความตั้งใจให้ดูไม่เป็นระเบียบในบางลุคนั้น อาจทำให้บางคนรู้สึกว่าโชว์ขาดความชัดเจนและดูมากเกินไปเมื่อเทียบกับคอลเล็กชั่นที่มีเส้นสายที่เรียบง่ายกว่าที่เคยทำมา


Bottega Veneta ของ Blazy ในครั้งนี้ เป็นการก้าวกระโดดไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญและจินตนาการสูง โดยการผสมผสานวัฒนธรรมหลากหลายเข้ากับความพิถีพิถันทางงานฝีมือและความแปลกใหม่ “เราสามารถหาพลังในความอ่อนหวานได้หรือไม่? เสน่ห์ของความกล้าหาญจะปะทะกับความแม่นยำที่เข้มงวดได้ไหม? มันจะสร้างการเคลื่อนไหวใหม่อย่างไร? เด็กในตัวคุณอยากได้อะไร? ผมต้องการสัมผัสถึงแรงดึงดูดดั้งเดิมของแฟชั่นอีกครั้ง ความหลงใหลในวัยเยาว์ที่ครอบคลุมความสุขของการมองเห็น การค้นพบ และการแต่งตัว พลังของคำว่า 'ว้าว!'” แน่นอนว่า มันทั้งยุ่งเหยิง อบอวลไปด้วยความหลัง และเต็มไปด้วยความฝัน เป็นการเดินทางในโลกของแฟชั่นที่ทั้งหรูหราและสับสนในแบบที่ทำให้เราตั้งตารอว่าเขาจะพาเราก้าวไปสู่เส้นทางใดต่อไปในอนาคต

 

ภาพ: Filippo Fior / Gorunway.com (Vogue Runway)