Vogue Thailand

LIFESTYLE

เปิดบทสัมภาษณ์ผู้บริหาร Sansiri และ Molteni&C กับโปรเจกต์การสร้าง Appartamento แห่งแรกในเอเชีย!

Sansiri ผู้นำอสังหาฯ ระดับซูเปอร์ลักชัวรีแถวหน้าของไทย และ Molteni&C แบรนด์เฟอร์นิเจอร์อิตาเลียน ร่วมเปิดมุมมองสู่การสร้าง 'Appartamento' ของโมลเทนี่แห่งแรกในเอเชีย

โดย Amanda Ampornmaha
03 กรกฎาคม 2568

     ในโลกของการออกแบบและอสังหาริมทรัพย์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี การจับมือกันของ Sansiri ผู้นำอสังหาฯระดับซูเปอร์ลักชัวรีแถวหน้าของประเทศ และ Molteni&C ไม่ใช่เพียงการร่วมสร้างที่อยู่อาศัย แต่คือการร่วมกันนิยามประสบการณ์การใช้ชีวิตในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งสองแบรนด์ร่วมกันพัฒนา “The First Appartamento Molteni in Asia” ซึ่งเป็น Bespoke Penthouse เพียงยูนิตเดียว แห่งแรกในเอเชียและแห่งแรกในประเทศไทย นำเสนอโครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรีย่านสุขุมวิท 51 ภายใต้ Sansiri Luxury Collection โดยทำงานร่วมกับทีมสตูดิโอของ Molteni&C ภายใต้การนำของ Creative Director - Vincent Van Duysen สถาปนิกชื่อดังระดับโลก รังสรรค์เพนต์เฮาส์ระดับไอคอนิกอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การวางคอนเซปต์หลัก การลงดีเทลในทุกรายละเอียด การวางเลย์เอาต์ ตลอดจนคัดสรรวัสดุคุณภาพชั้นเลิศ เพื่อเป็นบทพิสูจน์ของความเชื่อร่วมกันในเรื่องคุณภาพ ความประณีต และการออกแบบที่เป็นมากกว่าความงาม แต่ต้องตอบโจทย์และเติมเต็มประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ของผู้คน โดยคาดการว่าจะสร้างเสร็จในปี 2570 เป็นต้นไป โว้กจึงพาทุกท่านไปเจาะลึกมุมมองของ 'เกน-วทัญญู ตันติวงศ์' Vice President, Aesthetics & Interior Design บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์จากแสนสิริ และ 'Giovanni Molteni' รองประธานแห่ง Molteni&C ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของโปรเจกต์นี้

 

 

Article

     ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์แห่งแสนสิริ 'เกน-วทัญญู ตันติวงศ์' Vice President, Aesthetics & Interior Design บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันแนวคิดใหม่ๆ ของการอยู่อาศัยระดับลักชัวรี ที่ผสานทั้งศิลปะ ดีไซน์ และคุณภาพชีวิตเข้าไว้ด้วยกัน ความร่วมมือกับ Molteni&C ในครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่เขามองว่าไม่ได้เป็นเพียงโปรเจกต์อสังหาริมทรัพย์ แต่คือการรังสรรค์ประสบการณ์ชีวิตผ่านพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความหมาย และสะท้อนรสนิยมอย่างแท้จริง

 

Vogue: อะไรเป็นแรงผลักดันให้แสนสิริตัดสินใจร่วมมือกับ Molteni&C ในครั้งนี้

เกน-วทัญญู: พูดตามตรงว่า จุดเริ่มต้นของการร่วมมือกันครั้งนี้ไม่ได้มาจากการมองหาแบรนด์ใหญ่หรือชื่อเสียงเป็นหลัก แต่เรากำลังมองหาใครสักคนที่เข้าใจภาษาเดียวกับแสนสิริในเรื่องของดีไซน์ มีวิสัยทัศน์และความตั้งใจเดียวกันในการสร้างสิ่งที่มีคุณค่าจริงๆ สำหรับผู้พักอาศัย นั่นคือสิ่งที่เราพบใน Molteni&C

หลังจากได้พบกันครั้งแรกที่สตูดิโอในมิลาน เราเริ่มพูดคุย ตั้งแต่การวางคอนเซปต์ การจัดเลย์เอาต์ การคัดเลือกวัสดุ ทุกขั้นตอนเต็มไปด้วยความใส่ใจ Molteni ไม่ใช่แค่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ แต่คือผู้เชี่ยวชาญในการคิวเรต Living Lifestyle Experience ที่แท้จริง ซึ่งตรงกับสิ่งที่แสนสิริเชื่อมาโดยตลอด เพราะเราทั้งคู่ไม่ได้ต้องการขายแค่พื้นที่หรือของตกแต่ง แต่ต้องการส่งต่อคุณภาพชีวิตในแบบที่สัมผัสได้ และผมเชื่อว่าการร่วมมือครั้งนี้จะสามารถผลักดันประสบการณ์นั้นให้ไปได้ไกลทั้งในระดับไทยและระดับโลก

 

Vogue: คุณช่วยเล่าถึงเหตุผลที่คุณชื่นชอบในงานศิลปะและสถาปัตยกรรมอิตาเลียนให้เราฟังหน่อยได้ไหม

เกน-วทัญญู: ผมมีแพสชั่นในศิลปะอิตาเลียนมาเป็นเวลานาน ทั้งในด้านแฟชั่น อาหาร และโดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ที่ผมมีโอกาสคลุกคลีมานานกว่าสิบปี สิ่งที่ผมหลงใหลคือความเรียบง่ายของดีไซน์แบบอิตาเลียน ที่ไม่ต้องพยายามจะ 'เป็นอะไร' มากเกินไป แต่กลับสัมผัสได้ถึงความพิเศษ ความละเอียด และความตั้งใจที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งคุณจะรู้สึกได้ทันทีเมื่อได้ใช้หรือได้อยู่ร่วมกับมัน

ดีไซเนอร์คนโปรดของผมคือ Gio Ponti ซึ่งผมถือว่าเป็นเหมือน Godfather ของอิตาเลียนดีไซน์ เขาไม่เพียงแต่เป็นสถาปนิก แต่เป็นผู้ที่ทุ่มเทให้กับศิลปะในทุกรูปแบบอย่างแท้จริง หนึ่งในผลงานที่ผมประทับใจมากคือ Villa Planchart ในเวเนซุเอลา ที่เขาออกแบบทุกอย่าง ตั้งแต่สถาปัตยกรรมภายนอกจนถึงของตกแต่งภายใน รวมถึงเขียนหนังสือบันทึกความคิดสร้างสรรค์ไว้อย่างลึกซึ้ง คำพูดที่ผมจำขึ้นใจคือ "Art of design can bring happiness to everyday life" นั่นคือปรัชญาที่ผมยึดถือมาตลอด และเมื่อได้รู้ว่า Molteni&C กำลังทำงานกับอาร์ไคฟของ Gio Ponti อยู่ ผมก็รู้เลยว่านี่คือแบรนด์ที่จะสามารถสานต่อจิตวิญญาณของเขาได้จริง

 

Vogue: สำหรับโปรเจกต์นี้ คุณคิดว่าทั้งสองแบรนด์จะสามารถดึงศักยภาพและจุดเด่นของกันและกันออกมาอย่างไรบ้าง

เกน-วทัญญู: ผมมองว่าหัวใจสำคัญของการร่วมมือในครั้งนี้คือ 'สมดุล' เราทั้งสองแบรนด์ต่างมาจากคนละวัฒนธรรม แต่กลับมีแนวคิดที่คล้ายกันมากในเรื่องการออกแบบและการใช้ชีวิต ความต่างจึงไม่ใช่อุปสรรค แต่กลายเป็นพลังสร้างสรรค์ที่น่าทึ่ง พอเราได้คุยกันลึกๆ เราก็เริ่มเห็นว่าทั้งแสนสิริและโมลทินี่ต่างมีเป้าหมายร่วมกันในการยกระดับคุณภาพชีวิต และนั่นคือสิ่งที่ผลักดันโปรเจกต์นี้ให้โดดเด่นและแตกต่างจากโครงการอื่นๆ อย่างแท้จริง

 

Vogue: หากให้คำนิยามโครงการนี้ด้วยคำเพียงคำเดียว คุณจะเลือกคำว่าอะไร และเพราะอะไร

เกน-วทัญญู: คำคำนั้นคือ “Solo Uno” ซึ่งแปลว่า Only One ในภาษาอิตาเลียน เพราะโครงการนี้เป็นยูนิตเดียวในโลกที่เราออกแบบและสร้างขึ้นมาด้วยความตั้งใจสูงสุด มันไม่ได้เป็นเพียงเพนต์เฮาส์หรือโปรเจกต์อสังหาริมทรัพย์ทั่วไป แต่มันคือการถ่ายทอดปรัชญา ความงาม และประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น เป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่เราสร้างขึ้นเพียงหนึ่งเดียวจริงๆ

 

 

Article

     ทางฝั่งอิตาลี Giovanni Molteni ผู้บริหารรุ่นที่สามของ Molteni&C แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับไอคอนของโลก คือผู้สืบทอดวิสัยทัศน์และศิลปะการคราฟต์แบบอิตาเลียนที่ส่งต่อกันมานานกว่า 90 ปี ความมุ่งมั่นของเขาคือการสร้างสรรค์ไม่เพียงแค่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นงาม แต่รวมถึงไลฟ์สไตล์ที่กลมกลืนกับสถาปัตยกรรมและจิตวิญญาณของการใช้ชีวิต ด้วยความเข้าใจในคุณค่าของงานออกแบบร่วมสมัยและความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้คน เขาจึงมองการจับมือกับแสนสิริครั้งนี้ว่าเป็นการก้าวข้ามพรมแดนสู่การสร้างนิยามใหม่ให้กับ 'Appartamento' ในกรุงเทพฯ อย่างไม่เคยมีมาก่อน

 

Vogue: อะไรเป็นแรงผลักดันให้แสนสิริตัดสินใจร่วมมือกับ Molteni&C ในครั้งนี้

Giovanni Molteni: จุดเริ่มต้นของการพบกันระหว่าง Molteni&C และแสนสิริเกิดขึ้นผ่านความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ Suncity โดยทั้งสองแบรนด์มีแนวคิดที่สอดคล้องกันอย่างยิ่ง ทั้งในแง่ของสไตล์ ความหรูหรา และความตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่โดดเด่นให้แก่ลูกค้า 'เราต้องการสร้างบรรยากาศเฉพาะตัวที่แตกต่าง ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของเฟอร์นิเจอร์ แต่คือการออกแบบวิถีชีวิต' การร่วมมือครั้งนี้จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะทั้งสองแบรนด์ต่างมองเห็นคุณค่าเดียวกันในการออกแบบเพื่อชีวิต

 

Vogue: คุณมีมุมมองอย่างไรต่อแบรนด์อิตาเลียน และคิดว่าคนไทยจะตอบรับการออกแบบจากอิตาลีในลักษณะนี้อย่างไร

Giovanni Molteni: สำหรับมุมมองต่อแบรนด์อิตาเลียนและการตอบรับของผู้บริโภคชาวไทย ผมเชื่อว่าความเข้าใจระหว่าง Molteni&C กับแสนสิรินั้นลึกซึ้งและใกล้เคียงกันมาก เรามีปรัชญาในการออกแบบและนิยามความหรูหราในบ้านที่ตรงกัน ดังนั้นเราจึงอยากสร้างสิ่งที่ไม่เคยมีในกรุงเทพฯ มาก่อน และผมเชื่อว่าโปรเจกต์นี้จะเป็นความท้าทายใหม่ที่น่าตื่นเต้นของตลาด เพราะสิ่งที่เราสร้างนั้นไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ แต่เป็นวิถีการใช้ชีวิตที่ครบวงจร โดย Molteni&C มีไลน์สินค้าครอบคลุมตั้งแต่ตู้เสื้อผ้า ห้องครัว ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์บุผ้า ทุกชิ้นถูกออกแบบขึ้นภายใต้แนวคิดเรื่อง 'Luxury Lifestyle' ซึ่งเป็นหัวใจของแบรนด์มาโดยตลอด สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากแบรนด์อื่นในตลาดระดับไฮเอนด์คือ เราไม่ได้ขายแค่ของตกแต่งบ้าน แต่เราสื่อสารไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง

 

Vogue: หากให้คำนิยามโครงการนี้ด้วยคำเพียงคำเดียว คุณจะเลือกคำว่าอะไร และเพราะอะไร

Giovanni Molteni: คำว่า “Unique” และเหนือกาลเวลาอีกด้วยเพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือการผสมผสานระหว่างงานออกแบบสถาปัตยกรรมชั้นเลิศและผลิตภัณฑ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับโครงการนี้โดยเฉพาะ เรากำลังวางแผนผลิตสินค้ารุ่นพิเศษร่วมกับ Suncity เพื่อโครงการนี้โดยเฉพาะ นี่จะเป็นเหมือนอัญมณีเม็ดงามของกรุงเทพฯ 

 

     ความร่วมมือนี้ถือเป็นการบรรจบกันของสองแนวคิดที่มีรากฐานมั่นคงในวัฒนธรรมของตนเอง แสนสิริในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าใจบริบทการใช้ชีวิตของคนไทยอย่างลึกซึ้ง กับ Molteni&C แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับไอคอนของอิตาลีที่สร้างชื่อเสียงระดับโลกด้วยปรัชญาว่าด้วย “คุณภาพของการอยู่อาศัย” ทั้งคู่ร่วมกันรังสรรค์พื้นที่ที่เปรียบเสมือนงานศิลปะที่อยู่อาศัย ตั้งแต่การวางคอนเซ็ปต์ เลย์เอาต์ ไปจนถึงการคัดสรรวัสดุทุกชิ้นให้มีความหมาย ท่ามกลางความตั้งใจเดียวกันที่ว่า ความหรูหราที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ที่ภาพลักษณ์ แต่อยู่ที่ประสบการณ์ซึ่งถูกคราฟต์ขึ้นอย่างพิถีพิถันในทุกรายละเอียด

 

(สามารถอ่านเรื่อง พาชม The Ritz-Carlton Suite ห้องสวีทขนาด 439 ตารางเมตร ใจกลางพื้นที่สีเขียวแห่งเมืองหลวง! ได้ที่นี่)

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

A post shared by Vogue Thailand (@voguethailand)

Article
รูปภาพ : Courtesy of Sansiri