ถือว่าได้กระแสตอบรับที่ดีอย่างท่วมท้นมาเสมอกับซีรี่ส์มหากาพย์การแข่งขันระทึกขวัญอย่าง 'Squid Game' ตั้งแต่ซีซั่น 3 ได้ลงจอฉายไปหมาดๆ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา ก็สร้างสถิติด้วยการมียอดผู้ชม 60.1 ล้านวิวภายใน 3 วันแรกหลังออกอากาศซึ่งมากที่สุดในประวัติการณ์ของ Netflix สำหรับซีรี่ส์หนึ่งภาค ทั้งนี้ในโลกของ Squid Game ไม่มีใครได้เล่นเกมเพราะต้องการสนุก แต่เพราะชีวิตของพวกเขาหมดหนทางจนการเดิมพันสุดท้ายต้องแลกด้วยเลือดและศักดิ์ศรี สิ่งที่เริ่มต้นจากซีรี่ส์เกาหลีเรื่องหนึ่งในปี 2021 ได้กลายเป็นเครื่องมือสะท้อนความสิ้นหวังของสังคมทุนนิยมระดับโลก แต่เมื่อมาถึง Season 3 คำถามสำคัญคือ เราจะยังเล่าเรื่องเดิมซ้ำได้อีกหรือไม่? หรือ ถึงเวลาแล้วที่ Squid Game จะฉีกขอบเขตของตัวเองและเปิดเผย “เกมที่ซ่อนอยู่ใต้เกม” อย่างแท้จริง
จากเหยื่อ…สู่ผู้ท้าทายระบบ
ตอนจบของซีซั่นที่ 1 คือจุดที่คนดูเริ่มเห็นว่า Gi-hun (รับบทโดย Lee Jung-jae) ไม่ใช่แค่เหยื่ออีกต่อไป แต่เขาคือผู้รอดชีวิตที่มีทางเลือก และเขาเลือกกลับไปที่ไม่ใช่เพื่อเล่นเกมอีกครั้ง แต่เพื่อทำลายระบบของวงจรอุบาทว์เหล่านี้ให้หมดสิ้น นี่คือการเปลี่ยนจุดยืนของตัวละครหลักจากผู้ถูกกระทำสู่ผู้กระทำอย่างเต็มรูปแบบ และหากซีซั่น 3 เดินตามเส้นทางนี้จริง คำถามคือ เราจะยังเรียกเขาว่า “พระเอก” ได้หรือไม่? เพราะเมื่อเขาก้าวเข้าไปในระบบเดิมโดยสมัครใจ ย่อมต้องเผชิญกับสิ่งที่เขาเคยรังเกียจมาก่อนนั่นคืออำนาจ เงิน และความสามารถในการชี้เป็นชี้ตาย รวมถึงบางทีเขาอาจกลายเป็นผู้ควบคุมเกมคนใหม่โดยไม่รู้ตัว
ความสยองขวัญใหม่ คือเกมที่ผู้ชมดูอยู่ตลอดเวลา
หากซีซั่นใหม่ต้องการก้าวข้ามความซ้ำซาก การเพิ่มความรุนแรงหรือบิดพล็อตคงไม่พอ แต่ควรถามกลับว่า “ใครคือคนที่กำลังสนุกกับเกมนี้จริง ๆ?”
คำตอบอาจไม่ใช่แค่มหาเศรษฐีที่จ่ายเงินมาดูเกมแลกเลือดแลกเนื้อ แต่คือพวกเราเองที่เป็นผู้ชมทั่วโลกที่นั่งดูอยู่หน้าจอ Squid Game ซีซั่น 3 อาจตั้งคำถามกลับมาหาเราทั้งหมดด้วยการจำลองรูปแบบเกมให้เป็นเรียลิตี้โชว์เต็มตัว ผู้ชมในเรื่องอาจมีสิทธิ์โหวต เลือกผู้เข้าแข่งขัน หรือแม้แต่พนันกับชีวิตคนจริงผ่านเทคโนโลยีสมจริง ความเสื่อมถอยของจริยธรรมจะไม่ได้อยู่ในตัวเกมอีกต่อไป แต่สอดแทรกอยู่ในโครงสร้างของการดูเพื่อความบันเทิง และเมื่อเส้นแบ่งระหว่างคนเล่น คนดู และคนควบคุมเริ่มพร่าเลือน…เกมจะน่ากลัวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
จากการเอาตัวรอด…สู่การร่วมมือ
ถ้าซีซั่นแรกพูดถึง “การอยู่รอดด้วยการกำจัดผู้อื่น” และซีซั่นสองพูดถึง “การตั้งคำถามต่ออำนาจ” ซีซั่นนี้อาจต้องกล้าพูดถึงสิ่งที่ขัดแย้งที่สุดกับธรรมชาติของเกม คือ “การรอดไปด้วยกัน” ลองนึกถึงสถานการณ์ที่ผู้เล่นในเกมหนึ่งสามารถรอดทั้งหมดได้ หากเกิดความร่วมมือกันในระดับสุดโต่ง แต่แล้วมนุษย์จะเชื่อใจกันได้มากพอหรือไม่ในสถานการณ์กดดันระดับชีวิตตาย ถ้าซีรี่ส์กล้าหาญพอจะตั้งคำถามว่า “มนุษย์สามารถเปลี่ยนธรรมชาติของเกมได้หรือไม่?” และนั่นจะไม่ใช่แค่ภาคต่อ แต่คือการเปลี่ยน Squid Game จากซีรี่ส์แห่งหยาดเลือดให้กลายเป็นบททดสอบของความหวังในยุคที่ไร้หนทาง
แล้วเกมนี้จบ…หรือเพิ่งเริ่ม?
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของ Squid Game ไม่ใช่เกม แต่คือความเป็นจริงที่ผู้ชมเชื่อว่ามันเป็นแค่เกม และเมื่อโลกจริงเริ่มเดินตามตรรกะของซีรี่ส์นี้มากขึ้นทั้งการแข่งขัน การกดทับ และการเห็นค่าชีวิตมนุษย์ตามราคาเศรษฐกิจ บางทีซีซั่นที่สามอาจไม่จำเป็นต้องไปไกลถึงโลกแฟนตาซีอีกต่อไป เพราะเกมที่โหดร้ายที่สุด…คือโลกที่เรายืนอยู่ในตอนนี้