‘สาธุ’ ซีรี่ส์แห่งการตั้งคำถาม สร้างความตระหนักรู้ และเปิดมุมมองเกี่ยวกับธุรกิจอันเชื่อมโยงเรื่องศาสนา สำหรับหลายคนวัดอาจเป็นสถานที่พึ่งพาทางจิตใจ สามารถสร้างบรรยากาศแห่งบุญ และแน่นอนว่าในอีกทางหนึ่งหลายคนก็ใช้ความเชื่อ ความศรัทธา และการรวมกลุ่มของผู้คนเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ตัวละครวิน เดียร์ และเกมในซีรี่ส์เรื่องนี้คือคนที่เข้ามาแทรกซึมเข้าสู่กระบวนการของวัดเพื่อสร้างรายได้ตามโมเดลธุรกิจที่สามารถปรับใช้ได้กับวัดเป็นอย่างดี การทำบุญถูกแปรเปลี่ยนเป็นกลไกเชิงเศรษฐกิจและสร้างเม็ดเงินสะพัดจำนวนมหาศาล
ตลอด 9 ตอนซีรี่ส์เรื่องนี้ชี้ให้เห็นถึงวิธีการสร้างความนิยมของวัดเรื่อยไปจนถึงกลไกการสร้างเม็ดเงินจำนวนมาก แม้หลายจุดจะไม่ได้เจาะลึกหรือมุ่งเน้นมาแนวผลงานสืบสวนกึ่งสารคดี ทว่ามันก็สะท้อนภาพออกมาผสมผสานกับมิติความบันเทิงได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งมันปูทางไปสู่เส้นเรื่องช่วงสุดท้ายกับปัญหาและแนวทางการกอบโกยผลประโยชน์ รวมถึงการสาวไส้ถึงบุคคลเบื้องหลัง ต้องบอกว่ามันคือการสะท้อนการมีส่วนร่วมของตัวละครในหลายบทบาท ไม่ว่าจะเป็นพระ ผู้บริหารจัดการวัด สปอนเซอร์ หรือแม้กระทั่งสื่อ จนสุดท้ายนำมาสู่การคลายปมที่สร้างปมใหม่ให้หลายคนสงสัยในช่วงสุดท้าย
***ต่อไปนี้จะมีการสปอยล์เนื้อหา

ในช่วงสุดท้าย 3 ตัวละครหลักต่างหาวิธีเพื่อสร้างเม็ดเงินจำนวนมากสำหรับการปลดหนี้ หลังจากวัดเงียบเหงาซบเซาจากเหตุการณ์การกวาดล้างยาเสพติด สิ่งนี้นำมาสู่การสืบสวนและความข้องเกี่ยวกับธุรกิจด้านมืด โดยเฉพาะการฟอกเงิน จุดนี้ตำรวจเข้ามามีบทบาทและเปลี่ยนโฉมวิถีการดำเนินงานเชิงธุรกิจไปโดยสิ้นเชิง วิน เดียร์ และเกมต่างต้องดิ้นรนเพื่อเม็ดเงินจำนวนมาก ในขณะเดียวกันก็ต้องหลบหลีกจากความเสี่ยงต่างๆ ความน่าสนใจอยู่ที่ยิ่งความกดดันสูงขึ้น ความเสี่ยงก็สูงขึ้น รังสีความดำมืดก็เข้ามาครอบงำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในซีรี่ส์ตอนที่ 9 มีการคลายปมหลายอย่าง แม้จะถูกต้อนจนแทบจะจนมุมแต่ตัวละครทั้ง 3 ตัวก็หลุดพ้นออกมาได้จากน้ำมือของสปอนเซอร์ซึ่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่นขาใหญ่ มันสะท้อนให้เห็นถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงแล้วเม็ดเงินจำนวนมากที่ถูกเทเข้าสู่ระบบของวัดไม่ได้มาจากจิตอันเป็นบุญ แต่เป็นเหมือนการหมุนเวียนเงินเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ ชื่อเสียง หรือที่สำคัญที่สุดคืออำนาจการต่อรองที่ สจ.เอ๋ ถือครองและกุมชีวิตของทั้ง 3 คนไว้อย่างหนักแน่น ตัวละครอย่างพระเอกชัยก็มีส่วนร่วมหลัก โดยจากเนื้อเรื่องสามารถอนุมานได้ว่าเป็นบุคคลซึ่งจัดการกับปัญหา วางตัวด้วยบทบาทผู้คุมกฎอันเข้มงวดแต่ซ่อนเบื้องหลังอันเน่าเฟะไว้เบื้องหลัง โดยมีนักการเมืองสปอนเซอร์ใหญ่เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง

ตอนสุดท้ายมีการยื่นข้อเสนอระหว่างการทำงานในสเกลวัดที่ใหญ่ขึ้นให้กับวิน เดียร์ และเกมเพื่อแลกกับชีวิต ไม่ต้องติดคุกหากไม่ทำ แต่จะต้องจบชีวิตไปเลยมากกว่า นักการเมืองต้องการให้บุคคลมากความสามารถเข้ามาบริหารวัดที่ใหญ่ขึ้นเพื่อผลประโยชน์ เม็ดเงินจำนวนมากนั้นจะทวีมากขึ้นอีกระดับ กลไกความสลับซับซ้อนนี้เผยให้เห็นธาตุแท้ของคนยิ่งใหญ่ในสังคม เรื่อยไปจนถึงตัวพระสงฆ์เองที่อาจไม่ได้เป็นผู้คุมกฎอันเข้มงวด แต่เป็นหมากสำคัญในการขับเคลื่อนกลไกเพื่อผลประโยชน์ระดับมหากาฬ
ทุกคนอยากจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับการทำธุรกิจวัดนี้แล้วแต่กลับทำไม่ได้เพราะกลไกของระบบที่ยึดของเขาไว้แบบไร้ทางหนี หากจะหนีไปก็คงเท่ากับการสละชีวิตไปตลอดกาล นั่นหมายถึงกงล้อจะต้องขับเคลื่อนต่อแบบไม่รู้จบ อีกหนึ่งหลักฐานที่ชวนให้ผู้ชมจินตนาการปลายเปิดคือเรื่องของพ่อวินที่หายสาบสูญไปนานถึง 18 ปี จากกลไกของเรื่องสะท้อนให้เห็นว่าผู้ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจวัดอาจต้องพบกับจุดจบในรูปแบบใกล้เคียงกัน หลักฐานชิ้นสำคัญคือกระดาษใบเสร็จที่ชี้ให้เห็นว่าพ่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับวัดประจำจังหวัดที่วินเองต้องไปรับหน้าที่ต่อ จุดนี้ผู้เขียนอนุมานได้ว่าเส้นเรื่องปูไปสู่กลไกการสร้างวงล้อนิรันดร์ที่ไม่มีการหยุดหมุน แท้จริงแล้วเรื่องนี้มันถูกสรุปย่อและเผยมาตั้งแต่ชื่อตอนสุดท้ายแล้วว่า ‘The Eternal Wheel’ หรือ ‘วงล้อที่ไม่มีวันสิ้นสุด’ ซึ่งหากอนุมานความเป็นไปได้ วิเคราะห์ตามชื่อตอนและการสื่อสารช่วงท้ายจะพบว่าวงล้อนี้อาจเชื่อมโยงไปถึงพ่อของวิน ธุรกิจดำมืดในอดีต อันนำมาสู่การหายตัวไปแบบไร้ร่องรอย วงล้อนี้คือวงล้อที่คนหลุดพ้นคือคนที่ทิ้งชีวิตไปตลอดกาลนั่นเอง

