LIFESTYLE

เปิดเบื้องหลังเหรียญทองร่วมประวัติศาสตร์ กับเส้นทางมหัศจรรย์ของ 2 นักกีฬาผู้ไม่ยอมแพ้

เหรียญทองนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความฝันของทั้งคู่ และพวกเขาก็ทำมันได้สำเร็จพร้อมกันอย่างไม่น่าเชื่อ

     ในหน้าประวัติศาสตร์โอลิมปิกมีเหตุการณ์น่าประทับใจเกิดขึ้นมากมาย การแข่งขันที่เข็มข้นย่อมเคี่ยวให้เกิดปรากฏการณ์สำคัญของวงการกีฬาอยู่เสมอ การเฟ้นหาผู้ชนะเพื่อคว้าเหรียญทองในมหกรรมกีฬาแบบ 4 ปีมีครั้งนั้นถือว่าเป็นเรื่องสุดยิ่งใหญ่ของนักกีฬาทุกคน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกีฬาประเภทเดี่ยว คู่ หรือทีมล้วนเต็มไปด้วยแรงขับเคลื่อนขั้นสูงสุด ในโอลิมปิก 2020 ณ กรุงโตเกียวก็เช่นกัน โดยมีเหตุการณ์หนึ่งที่เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสุดตราตรึงสำหรับคอกีฬาเลยก็ว่าได้ เมื่อนักกรีฑาประเภทลาน 2 คนแชร์เหรียญทองด้วยกันอย่างเต็มภาคภูมิ

Mutaz Essa Barshim กับเหรียญเงินโอลิมปิกเมื่อปี 2016 / ภาพ: Revolution Watch

     จุดเริ่มต้นเหตุการณ์ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนริโอเกมส์เมื่อปี 2016 Gianmarco Tamberi นักกีฬากระโดดสูงชายจากอิตาลีได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงบริเวณข้อเท้าทำให้หมดสิทธิ์เติมฝันให้สมบูรณ์ในโอลิมปิกทันที ในขณะเดียวกัน Mutaz Essa Barshim นักกรีฑาคู่แข่งคนสำคัญจากประเทศกาตาร์สามารถทะยานขึ้นโพเดียมคว้าเหรียญเงินในการแข่งขันครั้งนั้นไปครอง ดูเหมือนว่าเส้นทางอาชีพของทั้งคู่จะวิ่งสวนทางและไม่มีวี่แววมาบรรจบกันได้แม้แต่น้อย จานมาร์โกกำลังดิ่งลงด้วยอาการบาดเจ็บ และมันช่างยากเหลือเกินที่เจ้าเวหาจะกลับมายิ่งใหญ่ได้หากเคยบอบช้ำบริเวณข้อเท้าซ้ายเช่นนั้น

Mutaz Essa Barshim ฉลองดีใจกับการคว้าเหรียญทองในการแข่งขันชิงแชมป์โลกเมื่อปี 2017 / ภาพ: Middle East Eye

     หลังโอลิมปิกปี 2016 เหมือนทุกจะประทานพรให้มูตาซเป็นเจ้าแห่งกีฬากระโดดสูง ลีลาการกระโดดและผลลัพธ์ที่ออกมาแต่ละครั้งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาคือเทพเจ้ายุคใหม่ของกีฬานี้อย่างแท้จริง เพราะเขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์โลกได้ในรายการ “World Championship” ปี 2017 ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่ามูตาซนี่ล่ะคือสุดยอดนักกีฬากระโดดสูงของโลกยุคปัจจุบัน แต่แล้วเหมือนเส้นทางนักกีฬากำลังจะจบลงอีกราย ปี 2018 หนุ่มกาตาร์คนนี้ได้รับบาดเจ็บข้อเท้าซ้ายอย่างรุนแรง อาการเหมือนจานมาร์โกตอนปี 2016 อย่างไรอย่างนั้น ทุกคนก็มองเหมือนกันว่าเส้นทางของมูตาซก็อาจจะจบแล้วเช่นกัน



WATCH




ลีลาการกระโดดสูงของ Gianmarco Tamberi เมื่อปี 2019 / ภาพ: Olympics

     แต่แล้วปี 2019 นักกีฬาขาสปริงจากกาตาร์ก็แสดงให้เห็นถึงการกลับมาโลดแล่นในวงการกรีฑาอย่างแข็งแกร่งด้วยการคว้าแชมป์มากมายในปีนั้น รวมถึงแชมป์โลกด้วย ซึ่งเขาเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถป้องกันแชมป์กีฬาประเภทนี้ได้สำเร็จ ชื่อของเขากลับมาโด่งดังอย่างรวดเร็ว ในขณะที่จานมาร์โกยังคงไม่ฟื้น เส้นทางหลังจากปี 2016 ของหนุ่มอิตาเลียนไม่สดใสเหมือนมูตาซที่เข้าสภาวะ “Bounce Back” อย่างรวดเร็ว แต่แล้วในการชิงแชมป์ยุโรปปี 2019 เขาก็ทำสำเร็จ จานมาร์โกคว้าเหรียญทองการแข่งขันกระโดดสูงในการแข่งขันกรีฑารายการ “European Indoor Championships” ถือเป็นจุดเริ่มต้นอันยิ่งใหญ่ที่แสดงให้เห็นว่าคู่แข่งคนสำคัญของมูตาซกลับมาแล้วเช่นกัน

ลีลาการฉลองชัยของ Gianmarco Tamberi ในการแข่งขันชิงแชมป์ยุโรปเมื่อต้นปี 2021 / ภาพ: European Athletics

     ก่อนมาโอลิมปิกเนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 เราเลยไม่ค่อยได้เห็นฟอร์มของมูตาซสักเท่าไรนัก แต่ปี 2021 จานมาร์โกได้อุ่นเครื่องด้วยการคว้าเหรียญเงินในการแข่งขันเดียวกับที่เขาคว้าเหรียญทองไปเมื่อปี 2019 ได้สำเร็จ สร้างความมั่นใจพร้อมลุยศึกโอลิมปิกเต็มที่ ช่วงเวลาที่เขารอคอยกำลังจะมาถึง ความฝันครั้งที่แล้วแตกสลายไปพร้อมกับข้อเท้าของเขาเอง ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเฉิดฉายในเวทีที่เขาคิดว่าคือที่สุดแห่งวงการกีฬาให้ได้ โตเกียว 2020 คือลานประลองยุทธ์ของทั้งมูตาซและจานมาร์โกที่แฟนกรีฑาประเภทลานตั้งตารอ

Mutaz Essa Barshim กับแว่นตาของเขาที่สะกดตาผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง / ภาพ: Fuzzy Skunk

     ช่วงค่ำวันที่ 1 สิงหาคม 2021 ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น ทั้งคู่เปิดตัวลงสนามอย่างยิ่งใหญ่ จานมาร์โกมาพร้อมแรงฮึดเต็มกำลัง ส่วนมูตาซมาด้วยมาดเท่ๆ สุดมั่นใจตามสไตล์ของเขา จนผู้บรรยายนิยามเขาว่าเป็น “Rockstar” บุคลิกแบบชิลๆ สบายๆ ทำให้บางคนก็ชอบสุดหัวใจ แต่บางคนก็อาจจะแอบหมั่นไส้อยู่เล็กๆ งานนี้จึงเป็นการต่อสู้กันของ 2 สุดยอดนักกระโดดสูงแห่งยุค โดยมีนักกีฬาจากชาติอื่นมาสอดแทรกสร้างความตื่นเต้น ตลอดการแข่งขันกระโดดสูงทั้งหมด 7 รอบ ความสูงตั้งแต่ 2.19 เมตรจนถึง 2.37 เมตร ทั้งคู่ผ่านฉลุยแบบไม่มีพลาดแม้แต่ครั้งเดียว กลายเป็นคู่ขับเคี่ยวเหรียญทองโดยมีเบลารุสและเกาหลีใต้ตามอยู่ห่างๆ

ลีลาสุดเร้าใจของ Gianmarco Tamberi ที่เรียกเสียงเฮได้ไม่แพ้กัน / ภาพ: Reuters

     และแล้วช่วงเวลาบีบหัวใจก็เกิดขึ้น ทั้งจานมาร์โกและมูตาซ ไม่มีใครกระโดดผ่านที่ความสูง 2.39 เมตรเลยแม้แต่ครั้งเดียว คนหนึ่งต้องการเหรียญทองโอลิมปิกหลังจากผิดหวังคว้าได้เพียงเหรียญทองแดงและเหรียญเงินไปเมื่อปี 2012 และ 2016 ตามลำดับ ส่วนอีกฝ่ายบาดเจ็บก่อนการแข่งขันเมื่อครั้งที่แล้ว วันนี้พกเฝือกคู่ใจมาสร้างพลังแฝงให้ตัวเองกระโดดได้ราวกับลอยค้างอยู่บนอากาศ พวกเขาได้รับเสียงปรบมืออย่างล้นหลามจากสไตล์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ทุกคนก็รู้ว่านี่คือนักกีฬากระโดดสูงระดับพระกาฬที่มีเป้าหมายเดียวกัน บทสรุปสุดท้ายอาจจะต้องเข้าสู่กระบวนการ Jump-Off เพื่อหาผู้ชนะแต่เพียงผู้เดียว

ทั้ง Gianmarco Tamberi และ Mutaz Essa Barshim กอดกันกลมหลังจากทราบว่าแชร์เหรียญทอง / ภาพ: USA Today

     แต่แล้วความน่าเหลือเชื่อก็ปรากฏ กรรมการเข้ามาพูดคุยเกี่ยวกับการ Jump-Off แล้วทันใดนั้นเองมูตาซก็เอ่ยขึ้นมาว่า “Can we have two golds ?” หรือเราสามารถแชร์เหรียญทองกันได้ไหม กรรมการตอบกลับว่า “IT'S POSSIBLE!” (ประโยคเต็มคือ It's possible. It depends if you both decide.) เมื่อสิ้นเสียงกรรมการทั้งคู่กระโดดกอดดีใจกันอย่างน่าประทับใจพร้อมประโยคทิ้งท้ายจากจานมาร์โกว่า “History, my friend” เพราะจานมาร์โกก็ตอบรับเงื่อนไขนี้เช่นกัน ต้องอธิบายก่อนว่านักกีฬาสามารถแบ่งเหรียญทองกันได้หากเสมอกันและทั้งคู่ยอมรับ เพราะตลอดการแข่งขันทั้ง 2 หนุ่มจาก 2 ทวีปก็ขับเคี่ยวกันมาชนิดหายใจรดต้นคอกันอยู่ตลอด มาถึงขีดจำกัดหนึ่งพวกเขาก็ไม่สามารถฝ่าบาร์สูง 2.39 เมตรได้ พวกเขาจึงตัดสินใจกอดคอกันคว้าเหรียญทองอย่างสมศักดิ์ศรีและกลายเป็นภาพประทับใจให้คนทั่วโลกจดจำ

ช่วงเวลาการฉลองชัยของทั้งคู่ที่จะกลายเป็นโมเมนต์ประวัติศาสตร์ของโอลิมปิก / ภาพ: Insider Voice

     ทั้งมูตาซและจานมาร์โกก้าวถึงขีดจำกัดมนุษย์ด้วยความสูงระดับสถิติโอลิมปิก สำหรับมูตาซเขากล่าวว่า “สำหรับผม จากผลงานที่ผมทำได้ผมสมควรได้รับเหรียญทอง ซึ่งเขา(จานมาร์โก)ก็ทำได้แบบเดียวกัน ดังนั้นเขาก็ควรได้รับเหรียญทองเช่นกัน นี่มันมากกว่าแค่กีฬา แต่มันจะส่งต่อพลังถึงคนในเจนเนอเรชั่นถัดไป” ในขณะที่จานมาร์โกก็กล่าวเช่นกันว่า “ไม่ใช่ว่าผมทำแบบนี้เพราะไม่เคารพนักกีฬาคนอื่น ผมเคารพเหล่านักกระโดดสูงที่อยู่ที่นั่นทุกคน แต่มูตาซผ่านปัญหาแบบเดียวกับผมมา(อาการบาดเจ็บข้อเท้าซ้าย) และผมรู้ว่ามันมีความหมายมากเพียงใดที่สามารถกลับมาได้หลังจากอาการนั้น ผมรู้สุดใจเลยว่ามันน่าหงุดหงิดแค่ไหน” หลายคนมองว่าทั้งคู่เข้าใจกันและกันอย่างถ่องแท้ว่าต้องผ่านอะไรกันมาบ้าง ความฝันเดียวกัน ปัญหาร้ายแรงเดียวกัน และยืนอยู่ในจุดเดียวกัน ณ ตอนนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนมูตาซเหมือนมีกราฟชีวิตที่พุ่งสูงจนมิอาจมาบรรจบกับจานมาร์โกได้ วันนี้คำว่า “เพื่อน” ตลอดหลายปีการแข่งขันที่ผ่านมาได้มาบรรจบกันตรงจุดสูงสุดของเกมกีฬา มูตาซและจานมาร์โกปิดหน้าโอลิมปิก 2020 ของตัวเองได้อย่างสวยงามและกลายเป็นปรากฏการณ์สปิริตนักกีฬาที่โลกต้องจารึก

เฝือกคู่ใจของ Gianmarco Tamberi / ภาพ: Eg24 News

     “แว่นตาอันเป็นสีสันกับเฝือกอันเป็นขุมพลัง” นอกจากความประทับใจด้านน้ำใจนักกีฬาแล้วทั้งคู่ยังมีสิ่งของติดตัวที่แฟนกีฬาทุกคนจดจำได้เป็นอย่างดี สำหรับมูตาซเขามาแข่งด้วยลีลายียวนแสดงความมั่นใจสุดขีด และแว่นตากันแดดสุดเปรี้ยวก็ทำให้ทุกคนจำภาพเขาได้ดีทีเดียว ถ้าใครได้ชมสดหรือชมไฮไลต์จะเห็นว่าเมื่อเขาทำหักเขายังมีอันสำรองไว้กันเหนียวอีกด้วย ในขณะที่แว่นตาของมูตาซคือสีสัน ฝั่งของจานมาร์โกมีเฝือกคู่ใจที่เขียนว่า “ROAD TO TOKYO 2020 2021” แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่เขาเตรียมตัวนานหลายปีเพื่อมาขับเคี่ยวชิงชัยกันในวันนี้ ถือเป็นอีกมุมหนึ่งของนักกีฬาที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง

Gianmarco Tamberi กระโดดดีใจอย่างต่อเนื่องเมื่อ Marcell Jacobs เพื่อนร่วมชาติคว้าเหรียญทองได้เช่นกัน / ภาพ: ABC Sport

     สุดท้ายที่ทุกคนลืมไม่ลงคือโมเมนต์ดีใจในตำนาน ทั้งมูตาซและจานมาร์โกต่างปิติยินดีซึ่งกันและกันเรื่องเหรียญทอง แต่หนุ่มอิตาเลียนเหมือนคลั่งหลุดโลกไปแล้ว หลายคนมองว่ามูตาซยังสามารถดึงศักยภาพมาตัดความฝันจานมาร์โกได้เนื่องจากสถิติส่วนตัวเขาข่มได้อย่างชัดเจน อีกทั้งมูตาซยังเป็นคู่แข่งที่ปาดหน้าจานมาร์โกคว้าชัยมาโดยตลอด งานนี้การคว้าเหรียญของจานมาร์โกจึงเหมือนการทำลายกำแพงชีวิตนักกระโดดสูงที่ขวางกั้นความฝันสูงสุดเขาไว้ได้สำเร็จ เชื่อไหมว่าเขาดีใจยาวนานต่อเนื่องจนถึงช่วงเวลาที่ Marcell Jacobs เพื่อนร่วมชาติหักปากกาเซียนคว้าเหรียญทองวิ่ง 100 เมตรไปครอง จานมาร์โกคือบุคคลปริศนาในจอที่วิ่งเข้ามาดีใจกับมาร์เซลล์แบบลืมชีวิต ถือเป็นวันตำนานของวงการกรีฑาอิตาลี และแน่นอนว่ามันเป็นวันแห่งชีวิตของจานมาร์โก ตัมเบริ นี่คือสิ่งที่โอลิมปิกมอบให้กับทุกคน เพราะโอลิมปิกไม่ใช่แค่การแข่งขันกีฬาแต่คือการถ่ายทอดจิตวิญญาณของนักกีฬาส่งต่อให้คนทั่วโลกอย่างสมบูรณ์แบบ

WATCH

คีย์เวิร์ด: #Olympic #Tokyo2020