LIFESTYLE

เปิด 6 วรรณกรรมระดับโลก ที่คนรักการอ่านหนังสือต้องได้อ่านสักครั้งในชีวิต

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นวรรณกรรมชื่อดังที่มาพร้อมกับเทคนิคการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม ตลอดจนเนื้อหาที่มีความเข้มข้น และสะท้อนให้เราได้เห็นแง่มุมต่างๆ จากแต่ละตัวละครอีกด้วย

     การอ่านหนังสือและวรรณกรรมยังถือเป็นกิจกรรมสุดคลาสสิกที่ใครหลายคนชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการหยิบเอาหนังสือเล่มโปรดมาอ่าน หรือการเอาหนังสือเล่มใหม่ที่รอให้เหล่านักอ่านได้เข้าไปผจญภัยผ่านตัวอักษร ล้วนต่างช่วยสร้างความบันเทิงใจให้คนรักการอ่านอยู่ไม่น้อย สำหรับบทความนี้โว้กจะพานักอ่านทั้งหลายไปทำความรู้จักกับ 6 วรรณกรรมระดับโลกที่ชีวิตนี้ควรอ่านสักครั้ง

 

ภาพจาก wikipedia.org

1. The Great Gatsby

     เริ่มกันที่วรรณกรรมเรื่องแรกกับ “The Great Gatsby” ที่เขียนขึ้นโดย F. Scott Fitzgerald เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนปี 1922 บอกเล่าเกี่ยวกับชีวิตของเศรษฐีหนุ่มลึกลับผู้มีไลฟ์สไตล์หรูหราบนเกาะลองไอแลนด์ มาพร้อมกับความรักที่แสนหลงใหลในอดีตนักแสดงสาว แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไปความลับอันดำมืดของเขาและความเป็นจริงที่แสนเน่าเฟ๊ะในยุคแจ๊สถูกเปิดเผย ทำให้เรื่องราวนี้กลายมาเป็นการวิจารณ์ถึงความลุ่มหลงในวัตถุและความเสื่อมทางศีลธรรมในยุคนั้น ซึ่งท้ายที่สุดนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าเศร้า วรรณกรรมเรื่องนี้ไม่เพียงเป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่นที่น่าอ่านเท่านั้น แต่ยังถูกหยิบยกเอาเนื้อหาในหนังสือมาต่อยอดเเละสร้างเป็นภาพยนตร์ภายใต้ชื่อเดียวกันอีกด้วย ผลงานชิ้นนี้ได้รับผู้กำกับชื่อดังอย่าง “Baz Luhrmann” และได้นักแสดงมืออาชีพอย่าง “Leonardo DiCaprio” มาเป็นผู้ถ่ายทอดเนื้อหาสุดเข้มข้นอีกด้วย

 

ภาพจาก kobo.com

2. In Search of Lost Time

     ใครที่ชื่นชอบวรรณกรรมที่แฝงไปด้วยเรื่องราวของศิลปะและประวัติศาสตร์ต้องไม่พลาดกับ “In Search of Lost Time” โดย Marcel Proust นวนิยายชื่อดังที่พร้อมพานักอ่านออกเดินทางสำรวจความทรงจำ ความรัก ศิลปะ และการดำเนินไปของห้วงเวลา โดยเนื้อเรื่องจะเป็นการเล่าผ่านความทรงจำในวัยเด็กและประสบการณ์ในวัยผู้ใหญ่ของผู้เล่าเรื่อง ตั้งแต่ในยุคชนชั้นสูงของฝรั่งเศสช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 เรื่องราวนี้มีความโดดเด่นด้วยช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่ยาวนานและซับซ้อน โดยมีตอนที่ชื่อว่า "Madeleine" อันเป็นตอนที่โด่งดังที่สุด นวนิยายเรื่องนี้ไม่เพียงถูกรังสรรค์มาในคอนเซปต์ของการสำรวจเวลา อวกาศ และความทรงจำเท่านั้น แต่ยังตั้งคำถามเกี่ยวกับธรรมชาติของศิลปะและวรรณกรรม รวมถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างความรัก เพศ และการครอบครองอีกด้วย

 



WATCH




ภาพจาก worcesterart.org

3. Ulysses

     ต่อกันที่ “Ulysses” วรรณกรรมที่ประพันธ์โดย James Joyce เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ เมืองดับลิน โดยบอกเล่าถึงเนื้อหาที่ได้จากการติดตามชีวิตประจำวันของ “Leopold Bloom” นักขายโฆษณา ในขณะที่เขากำลังเดินสำรวจไปทั่วเมือง เรื่องราวฉบับนี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากหนังสือเรื่อง Odyssey ที่ถูกเขียนขึ้นโดย Homer ทำให้คอนเซปต์หลักในนวนิยายเล่มนี้มาธีมของการออกสำรวจเอกลักษณ์ ความกล้าหาญ และความซับซ้อนของชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ Ulysses ยังถือเป็นนวนิยายที่มีชื่อเสียงด้านเทคนิคการเล่าเรื่องแบบ Stream-of-Consciousness หรือเทคนิคที่อาสัยการเล่าเรื่องผ่านความคิดของตัวละครโดยตรง ตลอดจนโครงสร้างของเรื่องที่มีความซับซ้อน ทำให้เป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่มที่คุ้มค่าในการอ่านแน่นอน

 

ภาพจาก penguin.com.au 

4. One Hundred Years of Solitude

     ถัดมากับวรรณกรรมอีกหนึ่งเรื่องอย่าง “One Hundred Years of Solitude” ซึ่งถือเป็นนวนิยายระดับตำนานของ Gabriel García Márquez นักเขียนชาวโคลอมเบียที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม เรื่องราวพาเราเข้าสู่โลกของตระกูลบวนเดียและเมืองมาคอนโด เมืองในจินตนาการที่เต็มไปด้วยเรื่องราวสุดพิศวงและความมหัศจรรย์ บอกเล่าเรื่องราวผ่านเจ็ดชั่วอายุคนของตระกูลดังกล่าวโดยเล่าย้อนไปตั้งแต่การก่อตั้งเมืองมาคอนโดโดย โฆเซ อาร์คาดิโอ บวนเดีย และอูร์ซูล่า อิกัวรัน จนถึงการล่มสลายของเมืองในที่สุด เป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์ประหลาดต่างๆ เช่น ฝนตกติดต่อกันเป็นหลายปี การลอยตัวกลางอากาศ การเกิดใหม่ของสิ่งมีชีวิต และความรักที่ข้ามผ่านกาลเวลา ทั้งนี้หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงวรรณกรรมเล่มหนึ่งเท่านั้น ทว่ายังเสมือนเครื่องมือที่พานักอ่านท่องไปกับการเรียนรู้และการตั้งคำถามถึงจิตวิญญาณ ความหมายของชีวิต การค้นหาตัวตน รวมถึงมุมมองของความรักที่สามารถเป็นไปได้ทั้งความสุขแรงบันดาลใจ และความทุกข์ในชีวิตอีกด้วย

 

ภาพจาก britannica.com 

5. The Catcher in the Rye

     สำหรับวรรณกรรมเรื่องถัดมาอย่าง “The Catcher in the Rye” โดย J. D. Salinger เป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยชีวิตวัยรุ่นของ “Holden Caulfield” เด็กหนุ่มวัยรุ่นชาวอเมริกันผู้ถูกไล่ออกจากโรงเรียนเอกชน ทำให้เขาตัดสินใจที่ออกไปใช้เวลาช่วงวันหยุดฤดูหนาวในการเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเมืองนิวยอร์ก พบเจอกับผู้คนหลากหลายประเภท และเผชิญหน้ากับความสับสนวุ่นวายในชีวิต หนังสือเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวของวัยรุ่นเท่านั้น แต่ยังผูกโยงเข้ากับธรรมชาติในช่วงเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยความสับสน ความเบื่อหน่ายในชีวิตและสังคม ตลอดจนการค้นหาตัวตนเพื่อเติบโตขึ้น ด้วยโครงสร้างเหล่านี้ที่มีความซับซ้อนทำให้ตัวละครหลักอย่างโฮลเดน ถือเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่จะทำให้เราเห็นพัฒนาการการเติบโต ทั้งในแง่ของชีวิต ทัศนคติ และมุมมอง

 

ภาพจาก amazon.com

6. Anna Karenina

     ปิดท้ายด้วยวรรณกรรมโรแมนติกดราม่าที่น่าอ่านกับ Anna Karenina โดย Leo Tolstoy เรื่องราวของ “อันนา คาเรนินา” หญิงสาวผู้ที่ดูเพียงผิวเผินอาจจะมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ เธอมีสามีที่เป็นขุนนางผู้ทรงอำนาจและลูกชายที่น่ารัก แต่ความสุขในชีวิตเธอกลับเริ่มสั่นคลอนเมื่อเธอได้พบกับหนุ่มน้อยวัยรุ่นคนหนึ่งชื่อ วรอนสกี ความรักที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองทำให้ชีวิตของอันนาต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกัน “เลวิน” ชายหนุ่มผู้อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท ก็กำลังเผชิญกับความขัดแย้งภายในใจ ที่เขาต้องการจะใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและมีความสุข แต่ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบที่แท้จริงได้ จนวันหนึ่งเขาได้พบรักกับ “คิตตี” สาวน้อยมากเสน่ห์ แต่เมื่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้เริ่มขึ้น ความรักของเขากลับต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายที่เข้ามาพิสูจน์แทบจะตลอดเวลา

     โดยเรื่องราวของทั้งอันนาและเลวินดำเนินไปแบบโลกคู่ขนาน แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของชีวิตและความรักของคนสองชนชั้น ในขณะที่อันนาต้องเผชิญกับการถูกสังคมประณามและการสูญเสียทุกสิ่งที่เธอรัก เลวินก็พยายามที่จะสร้างชีวิตครอบครัวที่แสนอบอุ่นและมีความสุข หนังสือเล่มนี้นอกจากจะเป็นเรื่องราวที่เข้มข้นแล้ว ยังเป็นวรรณกรรมที่สะท้อนให้เราได้ถึงความแตกต่างระหว่างชนชั้น ตลอดจนการเปรียบถึงถึงบทบาททางสังคมและจารีตประเพณีอีกด้วย

 

เรื่อง : Worramate Khamngeon
เรียบเรียง : Ramita Naungtongnim

WATCH

TAGS : Literature