ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงคำว่า ‘เด็ก Gen Z’ นั้นสามารถมองแตกออกเป็นได้หลายบริบท บ้างก็กลายเป็นทั้งคำชื่นชม หรือเลวร้ายไปถึงกลายเป็นข้อกล่าวหา เมื่อสังคมกำลังให้ความสนใจกับคำว่าเจนซี ซีรี่ส์เรื่องล่าสุดจากช่อง one31 อย่าง ‘TASTE – เด็กเจนแซ่บ’ ก็ถูกสร้างสรรค์ขึ้นอย่างกล้าหาญท่ามกลางสนามวัฒนธรรมป๊อปของไทย พร้อมประกาศอย่างชัดเจนว่าเด็กเจเนอเรชั่นนี้ไม่ใช่แค่คนที่ ‘แตกต่าง’ แต่คือคนที่ ‘รู้แนวทาง’ และพร้อมใช้มันให้โลกหันกลับมามอง การมาของซีรี่ส์เรื่อง TASTE ทำให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะหวนกลับไปยังซีรี่ส์วัยรุ่นชื่อดังแห่งยุคอย่าง ‘Hormones วัยว้าวุ่น’ จากค่าย GTH (ปัจจุบันคือ gdh) ที่เคยพลิกภูมิทัศน์ละครวัยรุ่นไทยเมื่อสิบปีก่อนด้วยการเล่าถึงเรื่องต้องห้าม อาทิ เพศ ความรุนแรง ความเครียด และเสรีภาพของวัยรุ่นอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรกในสื่อกระแสหลัก
ทั้งนี้ซีรี่ส์ Hormones และ TASTE ต่างเป็นเสียงสะท้อนของเด็กในยุคที่พวกเขาอยู่ ทว่าเสียงนั้นเปลี่ยนไปอย่างมากจากการตั้งคำถามอย่างกล้าหาญสู่การปั้นคำตอบอย่างแนบเนียน บทความนี้จะพาไปสำรวจความเหมือนและความแตกต่างของสองซีรี่ส์ผ่านมุมมองทางสังคม วัฒนธรรม และจิตวิทยา เพื่อให้เราเข้าใจไม่เพียงแค่ ‘เด็กในจอ’ แต่รวมถึง ‘เด็กที่กำลังเติบโตขึ้นจริงในสังคมปัจจุบัน’
โลกที่เด็กอยู่กับภาพจำหลักระหว่าง ‘ห้องเรียน’ และ ‘ฟีดไอจี’
ย้อนกลับไปยังซีรี่ส์ Hormones เมื่อสิบปีที่แล้วได้ใช้โรงเรียนเป็นสถานที่หลักในการเล่าเรื่องเกือบทุกความขัดแย้ง เริ่มจากความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน ครู และครอบครัว ซึ่งสะท้อนโครงสร้างสังคมดั้งเดิมที่มองว่าเด็กควรถูกควบคุม คาดหวัง และเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ TASTE เล่าเรื่องจากโลกที่ไม่มีครู มีแต่แพลตฟอร์มที่ให้คะแนนเด็กผ่านยอดวิว ยอดแชร์ และภาพจำ ฉะนั้นแล้วจึงชัดเจนว่าการสื่อสารของซีรี่ส์เรื่องนี้ที่ตัววัดความสำเร็จไม่ได้มองจากผลสอบ แต่กลับมองจากการมี ‘เทสต์’ ที่ใช่ หาก Hormones วิพากษ์ระบบการศึกษา TASTE ก็กำลังวิพากษ์ระบบทุนทางวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยโซเชียลมีเดียและค่านิยมตามอัลกอริธึม กล่าวโดยสรุปคือเด็กในฮอร์โมนพยายามสร้างโครงสร้าง แต่เด็กเจนแซ่บกลับเรียนรู้วิธีอยู่รอดในโครงสร้างที่มองไม่เห็น
จาก ‘เด็กมีปัญหา’ สู่ ‘เด็กที่สร้างภาพให้ไร้ปัญหา’
ตัวละครของซีรี่ส์ Hormones แต่ละคนมีปมในใจชัดเจน ไม่ว่าจะมีความรักในเพศเดียวกันอย่าง ‘ภู’ กับ ‘ธีร์’ , การกังวลของเรื่องท้องไม่พร้อมอย่าง ‘ดาว’ , ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ล้มเหลวของ ‘วิน’ หรือแม้แต่ความรุนแรงในโรงเรียนอย่าง ‘ไผ่’ และ ‘เต้ย’ (ที่เต้ยเป็นผู้ถูกกระทำ) พวกเขาทั้งหมดมีปัญหาและพยายามบอกสังคมว่าอย่ามองว่าเราแค่ดื้อ ในทางกลับกันเด็กเจนแซ่บวาง ‘แบมบี้’ และเพื่อนๆ ไว้ในโลกที่ปัญหาทุกอย่างต้องถูกซ่อน ไม่ว่าใครจะเจ็บ เปล่าเปลี่ยว หรือไม่มีเพื่อน ก็ไม่มีใครควรได้รับรู้เพราะภาพลักษณ์สำคัญกว่าความรู้สึก แบมบี้ต้องเลือกว่าจะเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีใครจำได้ หรือเป็นคนมีเทสต์ที่ทุกคนอยากเลียนแบบแม้จะต้องแลกด้วยทุกอย่างก็ตาม ความแตกต่างนี้ชี้ชัดว่า Hormones พาเด็กออกมาสู้เพื่อบอกว่าพวกเขาก็เป็น ‘มนุษย์’ แต่ TASTE กลับบอกว่าเด็กยุคนี้ไม่กล้าสู้แบบนั้นอีกแล้ว แต่พวกเขากลับเลือก ‘ปรับตัวให้ดูดี’ เพราะเชื่อว่านั่นคือหนทางเดียวที่จะถูกมองเห็น
เพื่อนคือโลกทั้งใบ หรือแค่เงาสะท้อนในสตอรี่?
เห็นชัดเจนว่าซีรี่ส์ Hormones ให้ความสำคัญกับมิตรภาพอย่างลึกซึ้งทั้งวินกับหมอก หรือธีร์กับภู แม้จะทะเลาะ ผิดหวัง หรือหักหลังกัน แต่ก็ยังไม่ละทิ้งความเป็นเพื่อนและพร้อมก้าวผ่านทุกสถานการณ์ไปพร้อมกัน แต่ในเรื่อง TASTE มิตรภาพกลายเป็นเครื่องมือหรือเหยื่อของเกมที่ใหญ่กว่า ตัวละครหลายคนพังเพราะการแข่งขันให้เป็นที่จดจำมากกว่าการอยู่เคียงข้างกันจริงๆ เช่น แบมบี้ที่ถูกบีบให้เลือกระหว่างคอนเน็กชั่นระดับบนกับเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ มาตลอด สิ่งนี้สะท้อนสังคมออนไลน์ยุคปัจจุบันได้อย่างเฉียบคมที่มนุษย์ถูกฝึกให้ ‘สร้างภาพของความสัมพันธ์’ ผ่านสตอรี่อินสตาแกรมหรือโซเชียลมีเดียมากกว่าการมีความสัมพันธ์ที่แท้จริง
จุดร่วมกันที่ชัดเจนว่า ‘ไม่มีใครฟังเด็ก’
แม้ทั้งสองซีรี่ส์จะเล่าเรื่องผ่านบริบทต่างยุคและต่างวิธี แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันอย่างเจ็บปวดคือเด็กยังคงส่งเสียงในโลกที่ไม่มีใครฟัง เพียงแต่วิธีที่เด็กแต่ละยุคเลือกใช้ไม่เหมือนกันเพราะต่างช่วงเวลาและต่างภาษาทางวัฒนธรรม กล่าวคือ Hormones ใช้การตั้งคำถาม ท้าทาย ดื้อ และตะโกน ทว่าเด็กเจนแซ่บใช้การออกแบบเทสต์ ปรับโทนภาพ ทำคอนเทนต์ และโพสต์ลงไทม์ไลน์ที่สวยงาม
เมื่อวัยรุ่นไม่ว้าวุ่นอีกต่อไป แต่กลับต้องรู้แนวทางตั้งแต่ยังไม่โต
สุดท้ายแล้วซีรี่ส์ Hormones ทำให้รู้ชัดเจนว่าเด็กไม่ได้โง่และเด็กไม่ได้ดื้อ แต่เพียงเพราะเด็กแค่ ‘เจ็บปวด’ และอยากมีสิทธิ์เลือกก็เท่านั้นเอง ส่วน TASTE นำเสนอมุมมองของเด็กยุคใหม่ที่ไม่เพียงต้องการ ‘สิทธิ์เลือก’ แต่ถูกบีบให้ ‘เลือกให้ถูกตั้งแต่ต้น’ เพราะโลกสมัยนี้หมุนเวียนเร็วยิ่งขึ้นและคนที่หลุดจากวงจรเกมนี้คือคนที่ไม่มีใครมองเห็น หาก Hormones เป็นกระจกสะท้อนการดิ้นรน TASTE ก็คงเป็นภาพลวงตาที่เด็กต้องส่องเพื่อแต่งหน้าให้โลกยอมรับ ฉะนั้นแล้วคำถามหลักคงไม่ใช่ประโยคที่ว่า ‘เด็กเจนไหนแซ่บกว่า?’ แต่มันคงเป็น ‘ผู้ใหญ่พร้อมจะฟังเสียงของพวกเขาที่อยู่ใต้คำว่า ‘แซ่บ’ แล้วหรือยัง?’…