clock tower
LIFESTYLE

สำรวจ 'หอนาฬิกา' แลนด์มาร์กที่ห้ามพลาดเมื่อไปเยือนยุโรป

เราขออาสาพาไปหาหอแห่งเวลาที่สวยงามทั่วยุโรป

     สำหรับผู้ที่รักและหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของเรือนเวลา เชื่อว่าหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ต้องมาเยือนให้ได้คงหนีไม่พ้นประเทศสวิตเซอร์แลนด์และแถบยุโรป ดินแดนแห่งการผลิตนาฬิกาหลากหลายแบรนด์ระดับโลก หรือบางที่อาจจะเป็นแลนมาร์กของเมืองนั้นๆ เพื่อเป็นจุดรวมพลของคนสมัยนั้น หรือเพื่อประโยชน์อื่นๆ ก็ตาม วันนี้เราขอแนะนำ 5 หอนาฬิการะดับท็อปลิสต์ของยุโรปที่ห้ามพลาด โดดเด่นทั้งเรื่องของสถาปัตยกรรม และเรื่องราวที่น่าสนใจของแต่ละ ส่วน จะมีที่ใดบ้างสามารถตามมาชมได้ที่ด้านล่างนี้

 

bigben tower

 
หอนาฬิกา Big Ben แห่งเมืองลอนดอน ประเทศสหราชอาณาจักร

     หอนาฬิกาที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เป็นแลนด์มาร์กที่โดดเด่นจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของแห่งมหานครลอนดอนไปโดยปริยาย ในขณะที่ผู้คนทั่วโลกต่างรู้จักและเรียกชื่อหอนาฬิกานี้ว่า ‘Big Ben’ ซึ่งแท้จริงแล้วชื่ออย่างเป็นทางการของสถานที่นี้คือ ‘Elizabeth Tower’ ส่วน ‘Big Ben’ นั้นเป็นชื่อเรียกแทนระฆังใบใหญ่ทั้ง 5 ใบ ที่แขวนไว้บริเวณช่องลมเหนือหน้าปัดนาฬิกา โดยระฆังทั้ง 5 ใบนั้นมันจะตีบอกเวลาทุกชั่วโมงเมื่อเข็มยาวชี้ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา เป็น ‘Voice of Britain’ ของชาวลอนดอนเนอร์ที่ดังก้องกังวาลไปทั่วบริเวณ แต่ในปี 2020 ระฆัง Big Ben นั้นเป็นอันต้องเงียบงันไป เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษได้ทำการปรับปรุง บูรณะ ซ่อมแซม โดยจากนี้ไปจะปล่อยให้หอนาฬิกานี้ดังเฉพาะช่วงวันหยุดสำคัญหรือช่วงเทศกาลพิเศษเท่านั้น

 

clock tower

 
หอนาฬิกา ‘Town Hall Clock’ กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก

     หอนาฬิกาผลงานมาสเตอร์พีซแห่งยุคโกธิกมีชื่อภาษาไทยว่า “นาฬิกาดาราศาสตร์” เป็นสถาปัตยกรรมที่มีการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างศาสตร์และศิลป์ ที่เปี่ยมไปด้วยรายละเอียดและความประณีตทั้งในด้านของเทคโนโลยีการสร้างและเทคนิคการออกแบบที่โดดเด่นสะดุดตา เป็นหอนาฬิกาที่ตั้งตระหง่านคู่กับกรุงปรากมายาวนาน นับตั้งแต่ปีคริสต์ศักราชที่ 1410 โดยข้อมูลทางประวัติศาสตร์กล่าวว่า ‘Town Hall Clock’ ใช้เวลาก่อสร้างมายาวนานกว่าจะแล้วเสร็จ เป็นหอนาฬิกาที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่งดงามและแปลกตาไม่เหมือนที่ใดในโลก และเอกลักษณ์หนึ่งเดียวที่ดึงดูดความสนใจคนทั้งโลกคือ หุ่นกระบอก 12 อัครสาวก ที่จะออกมาปรากฏกายระหว่างเสียงระฆังดังกึกก้องทุกๆ ชั่วโมงอีกด้วย

 



WATCH




clock tower

 
หอนาฬิกา ‘Zytglogge’ แห่งกรุงเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

     กรุงเบิร์นคือแหล่งกำเนิดนาฬิกาหรูแบรนด์ดังมากมาย รวมถึงเป็นเมืองหลวงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีกด้วย และหอนาฬิกา ‘Zytglogge’ แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีคริสต์ศักราช 1530 ตั้งอยู่ใจกลางย่านเมืองเก่าซึ่งเป็นแลนด์มาร์กของเมืองและเป็นไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยวต่างเฝ้ารอชม และถ่ายภาพตรงที่ ‘Golden Hour Beater’ กล่าวคือ ช่วงเวลาทุกๆ 5 นาทีก่อนจะครบชั่วโมง จะมีเสียงไก่ขันเกิดขึ้น หลังจากนั้นจะมีเหล่าตุ๊กตาเริงระบำเป็นวงกลมภายใต้บัลลังก์เทพเจ้าแห่งกาลเวลาหรือโครนอส บิดาแห่งทวยเทพกรีก-โรมันทั้งปวง ตามด้วยเสียงระฆังก็เป็นอันสิ้นสุดการแสดง เสมือนโชว์เล็กๆ ที่สร้างความประทับใจ และเพลิดเพลินให้กับชาวเมืองและผู้มาเยือน

 

tower clock

 
หอนาฬิกา ‘Anchor Clock’ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

     ลักษณะอาจจะไม่เหมือนหอนาฬิกาสักทีเดียว แต่ก็เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย โดย ‘Anchor Clock’ นี้ประดับอยู่บนทางเชื่อมระหว่างอาคารของ Anker Insurance Company ที่ตั้งอยู่ในย่านจัตุรัส Hoher Markt เป็นนาฬิกาที่ถูกออกแบบโดยจิตรกรแนวอาร์ต นูโวชื่อดัง ‘Franz Matsch’ โดยใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 6 ปี ระหว่างปี ค.ศ. 1911-1917 โดยในทุกวันเวลาเที่ยงตรง นาฬิกาเรือนนี้จะแสดงขบวนพาเหรดเล็กๆ เป็นรูปปั้นของ 12 บุคคลสำคัญจากประวัติศาสตร์ของกรุงเวียนนา เคลื่อนไปตามแนวทางเชื่อมอาคาร โดยไล่เรียงลำดับไปตามตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกา พร้อมกับบรรเลงบทเพลงแนวคลาสสิกสุดไพเราะ ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของกรุงเวียนนา มหานครแห่งดนตรีและนักประพันธ์เพลง โดยแต่ละบทเพลงนั้นมีความเชื่อมโยงกับรูปปั้นบุคคลสำคัญท่านนั้นๆ ด้วย

 

clock tower

หอนาฬิกา ‘Cuckoo Clock’ เมืองทรีแบร์ก ประเทศเยอรมนี

แหล่งกำเนิด ‘นาฬิกากุ๊กกู’ แบบออริจินัลที่ทั่วโลกรู้จัก แห่งเมืองทรีแบร์ก อิม ชวาร์ซวัลด์ (Triberg im Schwarzwald) ในเขตป่าดำ ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี อีกทั้งยังเป็นแหล่งกำเนิดนาฬิกาโบราณสัญชาติเยอรมันหลากหลายแบรนด์อีกด้วย ที่นี่ยังมีนาฬิกากุ๊กกูขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย นับว่าเป็นสัญลักษณ์ของป่าดำที่มีเอกลักษณ์อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีหมวก Bollenhut ลูกเชอร์รี และเค้กช็อกโกแลตที่เป็นของเลื่องชื่อรองลงมาจากนาฬิกากุ๊กกูอีกด้วย ส่วนไฮไลท์ของนาฬิกากุ๊กกูก็คือ นกกาเหว่าไม้ขนาด 4.5 เมตร ที่มีน้ำหนักถึง 6 ตัน เคลื่อนตัวออกมา แล้วร้อง “กุ๊กกู กุ๊กกู” ผ่านบานหน้าต่างบนชั้นหนึ่ง ให้เห็นกันทุกๆ ชั่วโมง สร้างรอยยิ้มและความประทับใจกับผู้พบเป็นเป็นอย่างมาก

 

ภาพ : ็History, Thetrainline, Solosophie, Picjumbo, IG: annafrankmill, wornandwound, zipser.at, jeznak, Wikipedia, flickr
ข้อมูล : Crazy-dial

WATCH

คีย์เวิร์ด: #ClockTower