LIFESTYLE

#VogueExclusive พูดคุยกับ “ลิซ-เจเน็ต” จาก CLINIQUE พร้อมรู้จักไอเท็มลดเลือนริ้วรอยตัวล่าสุด!

เผยเรื่องราวและแรงบันดาลใจของแบรนด์ 'CLINIQUE' ทั้งยังร่วมพูดคุยกับสองบุคคลสำคัญจากแบรนด์อย่าง 'Liz Nolan' เเละ 'Janet Pardo' พร้อมรู้จักกับผลิตภัณฑ์เซ็ตใหม่ล่าสุดเพื่อรับมือริ้วรอยแห่งวัยอย่าง 'Clinique Smart Clinical Repair’ และเคล็ดลับการบำรุงผิวด้วยดูโอ้เซรั่ม

     กว่าที่ “Clinique” จะก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์เครื่องสำอางและสกินแคร์ที่ครอบครองใจผู้คนในปัจจุบันนี้ โว้กคงต้องขอเล่าย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น เมื่อปี ค.ศ. 1967 บนนิตยสารโว้ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ฉบับวันที่ 15 สิงหาคม โดย “Carol Phillips” บรรณาธิการบริหารในขณะนั้นได้ตีพิมพ์คอลัมน์หนึ่งลงบนนิตยสารพร้อมจั่วหัวแบบตั้งคำถามว่า “ผิวดีสร้างได้หรือไม่ (Can great skin be created?)” พร้อมทั้งได้รับการตอบคำถามจากแพทย์ผิวหนังผู้มีชื่อเสียงอย่าง “Dr.Norman Orentreich” ถึงปัจจัยที่ทำได้และทำไม่ได้ ตลอดจนการเชื่อมโยงเข้ากับกิจกรรมต่างๆ ทั้งการเล่นกีฬา ไลฟ์สไตล์ หรือแม้แต่กิจกรรมบนเตียงซึ่งต่างก็ส่งผลต่อการมีผิวหน้าที่แลดูสุขภาพดีอีกด้วย

ลิซ โนแลน ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ระดับโลกของ ของ CLINIQUE

 

      ซึ่งหนึ่งในเนื้อหาสำคัญที่ถูกตีพิมพ์จนจุดประกายการก่อตั้งแบรนด์ในช่วงปีต่อมา คงต้องพูดถึง 3 ขั้นตอนการปรนนิบัติผิวที่คุณหมอนอร์แมนได้กล่าวถึง อย่าง “การทำความสะอาดผิว การผลัดเซลล์ผิว และการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว” โดยวิธีการเหล่านี้นับว่าเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่ช่วยให้ทุกคนได้มีผิวหน้าที่ดีขึ้น และยังกลายมาเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคทุกกลุ่มตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ผ่านผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของคลีนิกข์ที่ช่วยเรื่องการมีผิวสวยดูสุขภาพดี และแลดูอ่อนเยาว์กว่าวัย โดยผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ระดับโลกของแบรนด์อย่าง “Liz Nolan” ได้ร่วมพูดคุยกับโว้กประเทศไทย พร้อมเผยถึงเรื่องราวอันน่าประทับใจของแบรนด์ว่า “การปรนนิบัติผิว 3 ขั้นตอนนี้ไม่ใช่เพียงกลยุทธ์ที่คลีนิกข์วางไว้เท่านั้น แต่ครั้งหนึ่งฉันเคยได้เห็นคนที่ทำตามทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ วันละ 2 ครั้ง และใช่...มันได้ผล ทำให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ที่เราพยายามทำอยู่ มันเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคของเราแล้วจริง ๆ”



WATCH




     โดยขั้นตอนพื้นฐานเหล่านี้ยังถูกเชื่อมโยงเข้ากับขั้นตอนการออกแบบผลิตภัณฑ์ในช่วงแรกเริ่มของแบรนด์อย่าง “Clinique Liquid Facial Soap Mild” สบู่เหลวสำหรับทำความสะอาดใบหน้าสูตรอ่อนโยน แต่ยังช่วยให้ทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก ต่อด้วย “Clinique Clarifying Lotion” ผลิตภัณฑ์เช็ดทำความสะอาดผิว ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกได้อย่างอ่อนโยน ทั้งยังช่วยเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับขั้นตอนการบำรุงในขั้นตอนต่อไป และปิดท้ายด้วย “Clinique Dramatically Different Moisturizing Lotion” ผลิตภัณฑ์มอยซ์เจอไรเซอร์ที่มอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ซึ่งทั้งสามผลิตภัณฑ์นั้นถูกออกแบบและผ่านการทดลองการแพ้ ปราศจากน้ำหอมที่อาจจะส่งผลให้เกิดอาการแพ้ในอนาคต อ่อนโยนและเหมาะกับการดูแลผิวในชีวิตประจำวันอย่างมาก ด้วยการให้กำเนิดของทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์นี้ พร้อมกันนั้นยังเป็นการท้าทายอุตสาหกรรมความงามในด้านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากกลิ่นหอม ซึ่งคลีนิกข์เองก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งในแง่ของการออกแบบผลิตภัณฑ์และการทดสอบการแพ้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและกลายมาเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายในกลุ่มผู้ใช้ทั่วโลก จนทำให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กับรูปแบบผิวอื่นๆ ตามมา ซึ่งลิซเองก็พูดเสริมถึงประเด็นนี้เอาไว้ว่า “เราเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ของคลีนิกข์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์และเกิดมาเพื่อทุกคนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย ต่างก็สามารถใช้ได้ ถึงแม้ในช่วงเวลานั้นจะมีหลายๆ แบรนด์ที่เกิดขึ้นมาใหม่ แต่ยังไม่มีแบรนด์ใดที่สามารถเชื่อมโยงและเข้าใจปัญหาของผิวได้เท่าคลีนิกข์”

เจเน็ต ปาร์โด รองประธานอาวุโส ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ CLINIQUE

 

     ไม่เพียงแต่ในเรื่องของความใส่ใจและจริงใจต่อผู้บริโภคเท่านั้นที่ทำให้คลีนิกข์ยังคงเติบโตในแบบทุกวันนี้ โดย “Janet Pardo” รองประธานอาวุโส ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เปรียบเสมือนแม่ทัพนำทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ยังได้เผยกับโว้กว่าอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ทำให้คลีนิกข์โดดเด่นและแตกต่างจากแบรนด์สกินแคร์อื่น ๆ คือในเรื่องของ “ปรัชญา” อันเป็นหัวใจหลักในการออกแบบผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นที่ถูกยึดโยงเข้ากับกรรมวิธีการเลือกสรรส่วนผสมที่มีคุณภาพสูงและไม่เป็นอันตรายต่อผิว ในหลายขั้นตอน เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถใช้ได้ในทุกสภาพผิว ก่อนที่จะนำมาปล่อยขายสู่ท้องตลาด

ผลิตภัณฑ์เซรั่มเพื่อผิวสวยดูกระจ่างใส Even Better Clinical Radical Dark Spot Corrector + Interrupter (EBCI) จาก Clinique

 

    ไม่เพียงแต่อิทธิพลจากแนวความคิดอันแน่วแน่ของคลีนิกข์ทำให้บรรดาผลิตภัณฑ์ในยุคหลังจากนั้นยังคงยึดถือและเชื่อมั่นในขั้นตอนพื้นฐานการดูแลผิว แต่ทีมนักพัฒนายังคงศึกษาและเติมแต่งส่วนผสมต่างๆ ที่ช่วยดูแลผิวได้อย่างตอบโจทย์เข้ามาในผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น “Clinique Even Better Clinical Radical Dark Spot Corrector + Interrupter” หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “EBCI” ผลิตภัณฑ์ที่ผสานไปด้วยพลังจาก 2 เทคโนโลยีอย่าง “CL302 Complex” เทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะจากคลีนิกข์ที่ช่วยลดเลือนและลดการเกิดจุดด่างดำลง พร้อมทั้งปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น และ “Interrupter Technology” เทคโนโลยีที่มัดรวมความรู้ทางพฤกษาศาสตร์อันทรงคุณค่าเอาไว้ เพื่อช่วยปลอบประโลมผิว และมีส่วนช่วยในการลดปัญหาการเกิดจุดด่างดำในอนาคตอีกด้วย ทั้งยังจากสารสกัดจากสาหร่ายเกียวคุโระ, ไดโพแทสเซียม ไกลซิริเซต, สารสกัดจากรากมัลเบอร์รี่, สารสกัดจากรำข้าวและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยสารสกัดจากผลมะกอก บาร์เลย์และจมูกข้าวสาลี

     เจเน็ตยังได้เล่าต่อไปว่าผลิตภัณฑ์ “EBCI” นี้ เสมือนเป็นผลิตภัณฑ์ที่รวบรวมทั้งในแง่ของประสิทธิภาพและขั้นตอนการใช้งานไว้อย่างครบครัน โดยเธอเองก็เล่าอย่างติดตลกว่า “อย่างที่พวกเราทุกคนรู้กันว่าถ้าเกิดต้องทาครีมหลายๆ ตัวเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยการเริ่มหยิบครีมตัวนั้นมาทานิดหน่อย และหยิบอีกตัวมาทาอีกนิด วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ต่างอะไรกับ ‘อ่างล้างจานในครัว’ ที่ถูกเติมหลายสิ่งลงไปแต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้ส่งผลดีเท่าที่ควรสักอย่าง” นี่เลยกลายเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เกิดสกินแคร์ชิ้นนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นการทดแทนขั้นตอนที่หลากหลายจนเกินไป แต่ยังคงครบด้วยประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ผลิตภัณฑ์เพื่อรับมือริ้วรอยแห่งวัยตัวใหม่ล่าสุด Clinique Smart Clinical Repair Wrinkle Correcting Cream (ขวา) และ Serum (ซ้าย)

 

    นอกจากผลิตภัณฑ์ในกลุ่มลดเลือนจุดด่างดำจะเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของคลีนิกข์แล้ว ยังมีอีกหนึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่กำลังจะเข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญในการลดเลือนริ้วรอย อย่างเซ็ตสกินแคร์ “Clinique Smart Clinical Repair” กลุ่มผลิตภัณฑ์ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้มุ่งเน้นไปที่การลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย หรือริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้าในชีวิตประจำวัน ประกอบไปด้วย 3 ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดจากคลีนิกข์อย่าง “Clinique Smart Clinical Repair Wrinkle Correcting Cream” จากกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อรับมือกับปัญหาริ้วรอยแห่งวัย “Clinique Smart Clinical Repair” ไอเท็มชิ้นสำคัญที่ช่วยฟื้นบำรุงผิวหน้าจากการเสื่อมสภาพลงตามวัย ผสานไปด้วยกรดไฮยารูลอนิกที่มีขนาด 2 โมเลกุล มีส่วนช่วยในการเติมเต็มและกักเก็บความชุ่มชื้นของผิวให้ยาวนานขึ้น มาพร้อมกับส่วนผสมจากสารสกัดของเมล็ดถั่วเหลือง ที่อุดมไปด้วยกรดไลโซฟอสเฟดไลติก (LPA) ที่ช่วยเผยให้เห็นผิวหน้าที่สุขภาพดีอีกด้วย

Clinique Smart Clinical Repair Wrinkle Correcting Serum (ตรงกลาง)

 

    “Clinique Smart Clinical Repair Wrinkle Correcting Serum” ไอเท็มที่มุ่งเน้นไปที่การลดเลือนริ้วรอยอย่างตรงจุด ด้วยพลังการฟื้นฟูผิว 3 มิติ ไม่ว่าจะเป็น ตลอดจากสารสกัดเอกสิทธิ์เฉพาะจากคลินีกข์อย่าง “CL1870 Peptide Complex” ที่ผสานไว้ซึ่งเปปไทด์หลายชนิดที่มีส่วนช่วยในการปลอยประโลมผิว พร้อมเสริมประสิทธิภาพในการรับมือกับริ้วรอย และ “Retinoid” ที่มีส่วนช่วยในการผลัดเซลล์ผิว โดยเลือกใช้อนุพันธ์ในรูปแบบ HPR ซึ่งมีความอ่อนโยน ไม่ระคายเคืองกับผิว ทั้งยังสามารถใช้ได้ทั้งช่วงเวลาเช้าและเย็น โดยผลิตภัณฑ์นี้ถูกคิดค้นและวิจัยขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังโดยเฉพาะ ทำให้ได้เซรั่มประสิทธิภาพสูง แต่มีเนื้อบางเบาและอ่อนโยนต่อผิว

Clinique Smart Clinical Repair Wrinkle Correcting Eye Cream (บนซ้าย) , Clinique Smart Clinical Repair Wrinkle Correcting (ล่างซ้าย) และ Clinique Smart Clinical Repair Wrinkle Correcting Serum (ด้านขวา)

 

    และอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ขาดไม่ได้อย่าง “Clinique Smart Clinical Repair Wrinkle Correcting Eye Cream” ครีมทาบำรุงรอบดวงตา เพราะไม่เพียงแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้าส่วนอื่นเท่านั้นที่อาจจะสร้างริ้วรอยได้ แต่กล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตาก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่มีการเคลื่อนไหวและขยับตลอดเวลา ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้จนเมื่ออายุมากขึ้น ก็อาจจะสร้างริ้วรอยรอบดวงตาขึ้นมาได้เช่นกัน โดยครีมทารอบดวงตาชิ้นนี้อาศัยหลักการทำงานเดียวกันกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในเซ็ตเดียวกัน ช่วยฟื้นบำรุงให้ผิวหนังบริเวณรอบดวงตามีความชุ่มชื้นมากขึ้น ทั้งยังคงความยืดหยุ่นของผิว ชะลอการเกิดริ้วรอยกวนใจได้เป็นอย่างดี

    ซึ่งทั้งสามผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของคลีนิกข์อย่าง “CL1870 Peptide Complex” นวัตกรรมที่มัดรวมเปปไทด์ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผิวเอาไว้ด้วยกัน ทั้งยังเต็มไปด้วยส่วนผสมอื่นๆ ที่ช่วยเยียวยาฟื้นฟูผิวจากริ้วรอย ไม่ว่าจะเป็น “Acetyl Hexapeptide-8” เปปไทด์ที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยอันเกิดจากการแสดงสีหน้าและอารมณ์ให้แลดูจางลง, “Palmitoyl Tripeptide-1 และ Palmitoyl Tetrapeptide-7” เปปไทด์สองโมเลกุลที่ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ผิวให้เกิดการฟื้นฟูและลดเลือนริ้วรอยลง, “Whey Protein และ Caffeine” สองส่วนผสมที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการฟื้นบำรุงของผิวให้ถึงขั้นสุด พร้อมยังช่วยปลอบประโลมผิวได้เป็นอย่างดี

     ในการพูดคุยกับเจเน็ตครั้งนี้ เธอยังได้ร่วมตอบคำถามสำคัญที่หลาย ๆ คนเคยถามไว้ว่า เทคนิคการทาดูโอ้เซรั่ม ไม่ได้มีประสิทธิภาพสักเท่าไร แต่กลับเป็นเพียงแค่กลลวงทางการตลาดเท่านั้น”  ซึ่งเธอเองได้ตอบคำถามนี้ว่า “โดยปกติผลิตภัณฑ์ของคลีนิกข์ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่ค่อนข้างเฉพาะจุด ถ้าเกิดว่าเรามีปัญหาในเรื่องริ้วรอยเป็นหลักเราก็สามารถใช้ตัวสมาร์ทเซรั่มเพียงอย่างเดียวได้ แต่ถ้าเกิดเรามีปัญหาผิวที่กังวลใจถึง 2 ปัญหา การทาแบบเทคนิคดูโอ้เซรั่ม ก็เสมือนเป็นการทำงานควบคู่กันไปและได้ผลลัพธ์ที่ดีในแต่ละด้าน” พร้อมกันนั้นตัวของเจเน็ตเอง ยังได้เผยว่าปกติเธอก็ทาแบบดูโอ้เซรั่มเป็นประจำอยู่ทุกวัน และทาวันละ 2 ครั้งเสียด้วย และเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้มันช่างคุ้มค่ายิ่งนัก

     โดยไม่เพียงแต่การพูดคุยครั้งนี้จะมุ่งประเด็นไปที่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของแบรนด์แต่เพียงเท่านั้น แต่โว้กยังได้ร่วมพูดคุยกับทั้งสองบุคคลสำคัญจากคลีนิกข์ถึงก้าวถัดไปของแบรนด์ที่ต้องการจะก้าวต่อไปข้างหน้าและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมทั้งผสานซึ่งเทคโนโลยีและรอยยิ้มอันสดใสเอาไว้ด้วยกัน โดยลิซได้เล่าว่า “ถึงแม้จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับคลีนิกข์เพียงแค่ 3 ปีครึ่ง แต่ฉันยังคงเชื่อมั่นในสิ่งที่คลีนิกข์ทำมาตลอดผ่านหลากหลายผลิตภัณฑ์ และยังคงมองไปข้างหน้าผ่านแนวความคิดเดียวกันกับ มันอาจจะฟังดูสูงเกินเอื้อมแต่ฉันก็เชื่อมั่นว่าเราจะทำมันได้”

     ไม่เพียงแต่คุณภาพของผลิตภัณฑ์ต่างๆ จาก “Clinique” จะคอยมัดใจกลุ่มลูกค้าทั้งกลุ่มเก่าและกลุ่มใหม่จนต้องกลับมาซื้อซ้ำอยู่เสมอ แต่ด้วยความเอาใจใส่ในขั้นตอนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการเลือกส่วนผสมที่ดีที่สุดในการเติมแต่งลงไปในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้ไอเท็มที่ตอบโจทย์กับความต้องการของผิวอย่างแท้จริง หรือจะเป็นการขั้นตอนการทดสอบที่ได้มาตรฐานโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เหมาะกับทุกสภาพผิวของทุกๆ คน ทั้งยังรวมไปถึงการสร้างแบรนด์ด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจต่อผู้บริโภคที่ทำให้คลีนิกข์ยังคงเติบโตและประทับอยู่ในใจของผู้คนที่ได้ทดลองใช้จนถึงทุกวันนี้

    พิเศษ! เชิญร่วมอีเวนต์ครั้งสำคัญจากคลินีกข์ เพื่อทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์ดูโอ้เซรั่ม พร้อมรับคำปรึกษาและคำแนะนำการดูแลผิวโดยผู้เชี่ยวชาญที่งาน "Clinique Power Duo Serum" ที่ Beauty Gallerie ณ เซ็นทรัล ลาดพร้าว ตั้งแต่วันที่ 14 - 17 ตุลาคม 2565 โดยหากแฟนๆ โว้กเข้าร่วมงาน พร้อมเเจ้งว่าได้รับข่าวอีเวนต์นี้จาก โว้ก ประเทศไทย รับเพิ่มทันทีโลชั่นเช็ดผิวเพื่อผลัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ Twice-A-Day Exfoliating Lotion (คละสูตร) ขนาดพกพา 30 มิลลิลิตรฟรี!

WATCH