Vogue Thailand

FASHION

VOGUE SCOOP | ‘Jonathan Anderson’ ดีไซเนอร์ผู้ประกาศศักดายุคใหม่ของแฟชั่นผ่าน LOEWE และ DIOR

เขาคือดีไซเนอร์อีกหนึ่งคนที่เย็บ “ความรู้สึก” เหล่านั้นกลับเข้ามาในเสื้อผ้าและผลงานไม่ว่าเขาจะกุมบังเหียนแบรนด์ใดอยู่ก็ตาม

โดย Ramita Naungtongnim
02 กรกฎาคม 2568

     ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันวงล้อของอุตสาหกรรมแฟชั่นนั้นหมุนเวียนเร็วเกินกว่าจะยืนอยู่กับสิ่งเดิมตลอดไป และมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถชะลอการไหลเวียนนั้นด้วยพลังของความคิดและความสร้างสรรค์ ผ่านผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่เหล่าสาวกและคนทั่วโลกจนได้รับการยอมรับเป็นวงกว้าง และต่างตั้งตารอที่จะชื่นชมชิ้นงานกันถ้วนหน้า ‘Jonathan Anderson’ คงเป็นอีกหนึ่งชื่อดีไซเนอร์ที่ใครหลายคนคงนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ ว่าเขาสามารถยืนหยัดได้ในทั้งสนามของแฟชั่น ศิลปะ วัฒนธรรม งานฝีมือ เรื่อยไปจนถึงอัตลักษณ์ส่วนตัวโดยไม่ต้องรอรับคำตัดสินจากใคร โดยเฉพาะผลงานล่าสุดของเขาที่เพิ่งเดบิวต์ไปหมาดๆ กับคอลเล็กชั่นบุรุษประจำฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2026 ในฐานะครีเอทีฟไดเร็กเตอร์แห่งแบรนด์ DIOR ที่เหล่าสาวกต่างยกให้เป็นหนึ่งผลงานเปิดตัวชิ้นมาสเตอร์พีซและไม่ทำให้แฟนๆ ผิดหวังสมกับความคาดหวังอย่างแท้จริง Vogue Scoop ครั้งนี้จะพาทุกคนย้อนเส้นทางของโจนาธาน ดีไซเนอร์ผู้ไม่เป็นเพียงออกแบบผลงานสุดสร้างสรรค์ ทว่ากลายเป็นบุคคลผู้ประกาศยุคใหม่ด้วยความรู้สึกผ่านแฟชั่นและเสื้อผ้าเสมอมา

 

Article

 

จุดเริ่มต้นที่ ‘JW Anderson’ สู่การเดินหน้ากุมบังเหียน ‘LOEWE’

     ความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่นในวงการแฟชั่นของโจนาธาน ส่งให้เขาสร้างแบรนด์ ‘JW Anderson’ ด้วยงบเพียง 5,000 ปอนด์หรือราวๆ 200,000 บาทในปี 2008 โดยเริ่มจากการออกแบบเครื่องประดับที่มีความประณีต และถึงแม้จะเป็นน้องใหม่ในวงการแต่ก็ได้รับการตอบรับที่ดีและได้รับเลือกให้ร่วมแสดงผลงาน ณ ลอนดอนแฟชั่นวีกในปีเดียวกัน ผลงานของเขาได้รับอิทธิพลจากเสื้อผ้าผู้หญิงเรื่อยไปจนถึงการสวมใส่แบบยูนิเซ็กซ์ ก่อนจะได้รับความสนใจจากบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการแฟชั่นอย่าง LVMH ที่มองเห็นแววของคนที่ไม่เพียงแต่ดีไซน์ผลงานได้โดดเด่น ทว่ามีความเข้าใจว่าแฟชั่นคือเครื่องมือสื่อสารไม่ใช่แค่การตกแต่งร่างกาย โจนาธานขึ้นรับตำแหน่งครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของ LOEWE ในปี 2013 ซึ่งแน่นอนว่าหลายคนต่างตั้งคำถามว่าเด็กหนุ่มชาวไอริชคนนี้จะเอาอะไรมาเปลี่ยนแบรนด์เครื่องหนังสัญชาติสเปนที่คนแทบไม่รู้จักนอกภูมิภาคยุโรป แต่ไม่กี่ฤดูกาลต่อมาโลเอเว่ภายใต้การกุมบังเหียนของโจนาธานกลับกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ล้ำลึก สวยงาม และเขาสร้างยุคทองให้แก่แบรนด์อย่างแท้จริง

 

Article

 

‘LOEWE’ เมื่อแฟชั่นกลายเป็นงานศิลปะที่ยังหายใจ

     แน่นอนว่าเมื่อถึงยุคของโจนาธาน งานออกแบบของเขาและโลเอเว่ไม่เคยพยายามจะ ‘สวย’ ในความหมายทั่วไป บางครั้งเสื้อผ้าของเขาดูไม่สมบูรณ์ บิดเบี้ยว มีรอยหยักเหมือนงานประติมากรรมที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ บางครั้งเหมือนหลุดมาจากโลกของ René Magritte หรือ Salvador Dalí ด้วยโครงสร้างที่หลอกตา วัสดุที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง และอารมณ์ที่ล่องลอยอยู่กึ่งระหว่างความงาม ความกวน และความเปราะบาง แต่สิ่งที่คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์อยู่เสมอคือเสื้อผ้าเหล่านั้นมักจะปลุกความรู้สึกบางอย่างในตัวผู้ชมเสมือนบทกวีที่ไม่ต้องอธิบายแต่กลับเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้คอลเล็กชั่นต่างๆ ของโลเอเว่มักอิงกับศิลปินผู้เป็นแรงบันดาลใจตัวเขา อาทิ Joe Brainard, Paul Thek หรือแม้แต่ภาพวาดเด็กๆ ของ Cy Twombly ที่โจนาธานไม่ได้เพียงแค่ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะเหล่านั้น แต่เขาทำให้ศิลปะกลายเป็นเนื้อผ้าและร้อยเรียงเรื่องราวให้สวยงามผ่านผลงานแฟชั่นที่เขาล้วนสร้างสรรค์มากับมือ

 

Article

 

จากอิสรภาพสู่การประลองฝีมืออย่างคงเส้นคงวากับ DIOR

     หลังจากทำงานร่วมกับโลเอเว่มานานถึง 11 ปี ก็ถึงคราวโยกย้ายและถือเป็นอีกก้าวสำคัญของโจนาธานเมื่อต้องข้ามผ่านสนามทดลองของอิสรภาพมาสู่ ‘DIOR’ ดินแดนประวัติศาสตร์ที่มีน้ำหนักถ่วงของคำว่า ‘คงเส้นคงวา’ ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า LVMH ต้องการเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของแบรนด์ให้ถูกจดจำไปอีกขั้นในยุคใหม่อย่างสมเกียรติ เหล่าสาวกตั้งตารอคอยถึงการเฉลิมฉลองคอลเล็กชั่นแรกของเขาในฐานะหัวเรือใหญ่แห่งดิออร์ที่กุมบังเหียนทั้งฝั่งบุรุษและสตรี โจนาธานเปิดตัวในคอลเล็กชั่นบุรุษฤดูใบผลิ/ฤดูร้อน 2026 ซึ่งเขาทำให้ภาพจำของคอลเล็กชั่นน่าสนใจยิ่งกว่านั้นด้วยการ ‘ตีความ’ ใหม่และทั่วโลกเข้าใจสารนั้นอย่างถ่องแท้

 

Article

 

ความกล้าของโจนาธาน คือการเชื่อว่าแฟชั่นยังเปลี่ยนโลกได้

     ผลลัพธ์ของคอลเล็กชั่นเดบิวต์ของโจนาธานที่ดิออร์นั้นสามารถครองใจเหล่าสาวกทั่วโลก เขาเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการเปิดลุคด้วยโครงสร้างอันสง่างามของดิออร์ยุคแรกมาผสานกับการแต่งกายร่วมสมัยของชายหนุ่มในปัจจุบัน บางลุคสวมกางเกงชิโน่กับแจ็กเก็ตที่ปักลูกไม้ประณีต บางลุคสวมใส่รองเท้าแบบ เปิดนิ้วเท้าพร้อม Cravat แบบยุคศตวรรษที่ 19 ในมือหิ้วกระเป๋าโลหะโค้งมนที่เหมือนมาจากนิยายไซไฟ ทุกอย่างดูเหมือนไม่ควรจะเข้ากันได้ทว่ามันกลับเชื่อมโยงผ่านจิตวิญญาณของแบรนด์ที่ถูกคืนชีพใหม่เข้าไป โจนาธานสามารถทำให้ดิออร์กลายเป็นปัจจุบันโดยไม่จำเป็นต้องละทิ้งอดีตไว้แม้แต่น้อย ทั้งนี้สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดอาจไม่ใช่ดีไซน์ของเขา แต่เป็นความตั้งใจที่แฝงอยู่ในทุกคอลเล็กชั่นว่า “แฟชั่นยังเปลี่ยนความรู้สึกคนได้” เพราะในยุคที่ผู้คนเหนื่อยล้ากับโลโก้ใหญ่ๆ สินค้าจับต้องไม่ได้ และการตลาดที่กลวงเปล่า โจนาธานยังคือคนที่เชื่อว่าเสื้อผ้าควรทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เข้าใจตัวเองมากขึ้น หรืออย่างน้อยก็รู้ตัวว่าเรายังรู้สึกอะไรอยู่

 

     กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ในห้วงเวลาที่คนมากมายกำลังถามตัวเองว่า “เราจะใส่อะไร?” โจนาธานกลับถามเราด้วยคำถามที่ตรงกว่าและลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่า “คุณอยากรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณแต่งตัว?” คำถามนั้นอาจไม่มีคำตอบที่ตายตัว แต่โชคดีที่เขากำลังออกแบบคำตอบให้เราอยู่ในรูปของเสื้อผ้า ศิลปะ และความจริงใจที่ไม่ต้องพูดก็ได้ยิน ในยุคที่ความรู้สึกกลายเป็นสินค้าหายาก  เขาคือดีไซเนอร์อีกหนึ่งคนที่เย็บ “ความรู้สึก” เหล่านั้นกลับเข้ามาในเสื้อผ้าและผลงานอีกครั้งไม่ว่าเขาจะกุมบังเหียนแบรนด์ใดอยู่ก็ตาม...

 

ตามไปอ่านซีรี่ส์ Vogue Scoop ทั้งหมดได้ ที่นี่

กราฟิก : จินาภา ฟองกษีร