Louis Vuitton, Louis Vuitton Asnières, Louis Vuitton museum, yaya louis vuitton, ญาญ่า Louis Vuitton, ญาญ่า อุรัสยา
FASHION

เปิดเวิร์กช็อปงานคราฟต์ทักษะชั้นสูงที่บ้าน Asnières อันเป็นหัวใจของเมซง Louis Vuitton

จะมีที่ใดรังสรรค์งานคราฟต์ที่ต้องอาศัยทักษะและความเชี่ยวชาญของช่างฝีมือชั้นสูงได้ดีไปกว่าเวิร์กช็อปที่บ้าน Asnières ของเมซง Louis Vuitton

     แม้ปัจจุบันเมซง Louis Vuitton จะมีโรงงานที่มีกำลังการผลิตสูงอยู่หลายแห่งในฝรั่งเศสเพื่อรองรับธุรกิจที่เติบโตขึ้นและความต้องการของผู้บริโภคที่สูงขึ้น แต่สำหรับชิ้นงานสั่งทำพิเศษที่เรียกได้ว่าเป็นงานคราฟต์ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยทักษะของช่างฝีมือชั้นสูงผู้เชี่ยวชาญ ชิ้นงานเหล่านี้ทุกชิ้นยังคงถือกำเนิดจากเวิร์กช็อปที่ Asnières ซึ่งเป็นหัวใจของเมซง

Louis Vuitton, Louis Vuitton Asnières, Louis Vuitton museum, yaya louis vuitton, ญาญ่า Louis Vuitton, ญาญ่า อุรัสยา

ช่างฝีมือกำลังตอกหมุดกระเป๋าหีบอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์

     บ้านอาส์นิแยร์คือมรดกทางวัฒนธรรมที่ประเมินค่าไม่ได้ ทั้งคุณค่าทางด้านสถาปัตยกรรมสไตล์อาร์ตนูโวที่วิจิตรงดงาม คุณค่าทางประวัติศาสตร์ของตระกูลวิตตองที่ยาวนานกว่า 160 ปี ซึ่งพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ชั้นบนมาหลายต่อหลายรุ่น พร้อมประทับความทรงจำมากมายไว้ทุกตารางนิ้ว เมื่อผ่านไปถึงด้านในถัดจากห้องรับรองที่หรูหรา คือเวิร์กช็อปอันเต็มไปด้วยช่างฝีมือชั้นครูคอยผลิตงานคราฟต์ชิ้นประณีตให้เมซงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 1859 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่บ้านอาส์นิแยร์ถูกสร้างขึ้น

ขั้นตอนการย้อมสีขอบไม้

     การสัมผัสกับประสบการณ์เช่นเดียวกันกับเมอซีเยอ Louis Vuitton ไม่ต่างกับจุดสูงสุดสำหรับคนในวงการแฟชั่น ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อเวลาได้ผ่านไปนานกว่าศตวรรษ แต่โว้กและญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ ในฐานะ Friends of the House ได้รับเกียรติให้สัมผัสกับประสบการณ์เช่นเดียวกันกับผู้ก่อตั้งอันเป็นที่เคารพรักเมื่อเข้าไปยังเวิร์กช็อปอาส์นิแยร์แห่งนี้ ทั้งกลิ่นของไม้ตัดใหม่นานาชนิด หนังชั้นยอดที่ถูกเก็บอยู่ในคลังส่งกลิ่นราวกับน้ำหอมอันหรูหรา รวมถึงเสียงตอกตะปูและเสียงจักรเย็บผ้าที่ชวนให้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม การได้มาเยือนบ้านแห่งนี้จึงเป็นดั่งประสบการณ์แสนพิเศษที่ยากจะได้รับ



WATCH




ภาพบรรยากาศของเวิร์กช็อป Asnières ในปี 1873 โดย L. Guiguet

     เมื่อก้าวเข้าสู่เวิร์กช็อปเราจะพบเห็นช่างฝีมือมากประสบการณ์มุ่งมั่นทำงานในทุกขั้นตอนด้วยความละเอียดรอบคอบและพิถีพิถัน เริ่มตั้งแต่การขึ้นโครงสร้างของหีบเดินทางด้วยไม้ป็อปลาร์ (Poplar) ไม้บีช และไม้โอคูเมะ (Okoumé) เพื่อน้ำหนักที่เบา ดำเนินการผ่านเทคนิคตั้งแต่การวัดขนาด การย้อมสีไม้ และการตอกตะปูอย่างประณีต อีกทั้งยังทากาวอย่างเบามือเพื่อขึงผ้าแคนวาสลายโมโนแกรมซึ่งเป็นไอคอนของเมซง ถัดจากขั้นตอนของการขึงผ้าแคนวาสคือการตอกตะปูเพื่อยึด Lozine ซึ่งเป็นวัสดุเนื้อแข็งเข้ากับขอบและมุมของหีบเดินทาง ทำให้ผู้ใช้งานสามารถมั่นใจได้ในความแข็งแรง ในขณะที่ด้านในของฝาหีบจะถูกบุและติดแถบผ้าเป็นลาย Malletage ซึ่งเป็นอีกหนึ่งลายเอกลักษณ์ของเมซง

7 ช่างฝีมือกำลังตกแต่งชิ้นส่วนภายในของหีบเก็บจิวเวลรี

     ไม่เพียงแค่หีบเดินทางเท่านั้น แต่ที่เวิร์กช็อปแห่งนี้ยังผลิตหีบสั่งทำพิเศษรูปแบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นหีบเก็บอุปกรณ์สำหรับชายามบ่าย หีบเก็บเครื่องดื่ม หีบโต๊ะเครื่องแป้ง หีบเก็บจิวเวลรี ตลอดจนหีบเก็บรองเท้า โดยมีการใช้วัสดุอื่นๆ นอกเหนือไปจากไม้มาประกอบกันในการผลิต ทั้ง Lozine และอะคริลิก ซึ่งนอกจากจะตอบโจทย์ด้านการใช้งานในรูปแบบที่หลากหลายแล้ว หีบเหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่บ่งบอกถึงรสนิยมอันรุ่มรวยของผู้ครอบครองได้เป็นอย่างดี

งานไม้และเครื่องมือช่างสำหรับขึ้นโครงหลักของหีบเดินทาง

     และเพื่อให้ชิ้นงานออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด เวิร์กช็อปที่อาส์นิแยร์ได้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีควบคู่กันไปกับการสร้างสรรค์ผลงานแบบแฮนด์เมด โดยมีการใช้เครื่องจักรและคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการตัดแผ่นหนังให้แม่นยำและใช้พื้นที่ของหนังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่เหลือเศษหนังเกินความจำเป็น ก่อนที่หนังเหล่านั้นจะถูกนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทหนังของเมซง อย่างไรก็ตาม กระบวนการทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของช่างฝีมือผู้มากประสบการณ์และเชี่ยวชาญด้านการตัดหนัง ใกล้ๆ กันนั้นคือพื้นที่สำหรับเนรมิตรายละเอียดต่างๆ ของกระเป๋าแบบแฮนด์เมด ทั้งสายกระเป๋าที่ถูกขัดให้ขึ้นเงาอย่างเบามือ และตะเข็บที่ถูกเพนต์อย่างพิถีพิถันด้วยสีโทนเดียวกับหนัง

ขั้นตอนการทากาวเพื่อติดผ้าแคนวาสลายโมโนแกรม ก่อนจะเก็บรายละเอียดของขอบชิ้นงานและตอกตะปูติด Lozine เพิ่มความแข็งแรง

     ในตอนที่เมอซีเยอหลุยส์ วิตตองยังมีชีวิตอยู่ เขามักจะมาเยี่ยมบ้านแห่งนี้เป็นประจำและถ่ายทอดทักษะให้กับช่างฝีมือ รูปแบบการทำงานจึงมีต้นแบบมาจากเมอซีเยอทุกกระเบียดนิ้ว อีกทั้งยังคงถ่ายทอดมาสู่ช่างฝีมือรุ่นต่อๆ มาจวบจนปัจจุบัน และชิ้นงานสั่งทำพิเศษจากเวิร์กช็อปอาส์นิแยร์นี้จึงเป็นเหมือนชิ้นงานที่เมอซีเยอหลุยส์ วิตตอง ผู้ก่อตั้งเมซงเป็นผู้ลงมือผลิตด้วยตนเอง นี่คือวิสัยทัศน์ของเมอซีเยอหลุยส์ วิตตองในการสร้างความสมดุลอันยอดเยี่ยมระหว่างองค์ความรู้ที่เป็นมรดกตกทอด งานหัตถศิลป์ และเทคโนโลยี

หีบรูปลักษณ์แปลกตาที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อจัดเก็บน้ำหอมอันล้ำค่าของสุภาพสตรี

     ยิ่งไปกว่านั้น บ้านอาส์นิแยร์ยังเป็นตัวแทนของวิสัยทัศน์ด้านการทำธุรกิจของเมอซีเยอหลุยส์ วิตตอง ด้วยตำแหน่งอันชาญฉลาดที่ถือได้ว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการผลิตและการขนส่ง เนื่องจากเขาตระหนักว่าการจะพัฒนาธุรกิจให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วได้จำเป็นต้องอาศัยจุดเชื่อมต่อจุดใหม่เพื่อเชื่อมระหว่างบูติกและจุดรับวัตถุดิบ ซึ่งที่ตั้งของบ้านอาส์นิแยร์เป็นจุดที่เข้าถึงการขนส่งวัตถุดิบสำหรับผลิตหีบเดินทางได้ง่ายพอๆ กับการขนส่งสินค้าที่เสร็จสมบูรณ์แล้วไปสู่บูติกที่ปารีส ด้วยเหตุนี้ทำให้สามารถผลิตสินค้าเข้าสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะขยับขยายฐานการผลิตไปสู่โรงงานที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อตอบรับความต้องการของตลาดที่สูงขึ้น ทำให้เวิร์กช็อปที่อาส์นิแยร์กลายเป็นพื้นที่สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่รับผลิตเพียงชิ้นงานสั่งทำพิเศษและงานคราฟต์ระดับไอคอนิกของเมซงเท่านั้น

ขั้นตอนการทากาวเพื่อติดผ้าแคนวาสลายโมโนแกรม ก่อนจะทำการเก็บรายละเอียดของขอบชิ้นงาน และตอกตะปูติด Lozine เพิ่มความแข็งแรง

     นอกจากนี้หีบเดินทางของเมซงก็เป็นดั่งตัวแทนของวิสัยทัศน์ด้านการวิเคราะห์แนวโน้มและความต้องการของผู้ใช้งาน ย้อนกลับไปในปี 1854 หีบที่ใช้ในการใส่สัมภาระเพื่อเดินทางมีเพียงหีบทรงโดมซึ่งเป็นดีไซน์แบบดั้งเดิมเท่านั้น ด้วยทักษะช่างไม้ที่ติดตัวมา เมอซีเยอหลุยส์ วิตตองจึงได้ปรับเปลี่ยนดีไซน์ของหีบเดินทางใหม่ จากหีบทรงโดมแบบเดิมมาเป็นหีบทรงแบนในแบบฉบับของเมซง ซึ่งตอบโจทย์ในการใช้งานและการเดินทางมากกว่าจนทำให้หีบของหลุยส์ วิตตองเป็นที่นิยมในวงกว้าง ตลอดจนการสร้างลายตารางหมากรุกที่รู้จักกันในชื่อ “Damier”

ขั้นตอนการทากาวเพื่อติดผ้าแคนวาสลายโมโนแกรม ก่อนจะทำการเก็บรายละเอียดของขอบชิ้นงาน และตอกตะปูติด Lozine เพิ่มความแข็งแรง

     และเปรียบดั่งลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น พรสวรรค์ของเมอซีเยอหลุยส์ วิตตองได้ถูกส่งต่อมายังเมอซีเยอ Georges-Louis Vuitton ลูกชายคนโตผู้ซึ่งออกแบบลายโมโนแกรมขึ้นในปี 1896 เพื่อเป็นเกียรติแก่บิดาผู้ล่วงลับ การออกแบบนี้ได้กลายมาเป็นไอคอนของเมซงในที่สุดและเป็นดั่งการปฏิวัติวงการแฟชั่นที่ขยับมายังจุดที่เป็นสากลและนำสมัยมากยิ่งขึ้น ราวกับสัญลักษณ์ที่นิยามวัฒนธรรมระดับโลกที่กำลังจะมาถึง

     อย่างไรก็ตาม แม้จะกล่าวว่าบ้านอาส์นิแยร์คือมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า แต่ก็มีบรรยากาศแตกต่างจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อันเงียบสงบโดยสิ้นเชิง เพราะที่นี่คือสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของช่างฝีมือทั้งหญิงและชาย จากหลากหลายช่วงวัยและหลากหลายถิ่นกำเนิด หากแต่มีสองสิ่งที่ช่างฝีมือทุกคนของเวิร์กช็อปอาส์นิแยร์มีเหมือนกัน นั่นก็คือฝีมือหัตถศิลป์ชั้นครูและความหลงใหลในการสร้างสรรค์ชิ้นงานที่อยู่เหนือกาลเวลาให้กับเมซง

 

เรื่อง: วรณิสร์ สุยะสาม
เรียบเรียง: นาทนาม ไวยหงษ์

WATCH

คีย์เวิร์ด: #LouisVuitton