เรื่อง : ปวีณา บัลลพ์วานิช
สาวิน สายมา (เป้ง) ศิลปินผู้นำศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน "จักสาน" มาต่อยอด เปลี่ยนมุมมอง และเพิ่มมูลค่าให้เครื่องจักสานราคาหลักสิบอีกหลายเท่า เป้งมองว่างานจักสานเหล่านี้มีคุณค่าทางจิตใจมากกว่าเงินทอง เพราะเปรียบเสมือนวัฒนธรรมเก่าแก่ของไทย ดังนั้นเขาจึงพยายามนำงานหัตถกรรมพื้นบ้านมาตีความใหม่ให้ร่วมสมัยมากขึ้น “จริงๆ เป้งไม่ได้สนใจงานจักสานเลย เราแค่ชอบงานศิลปะประเภทประดิดประดอย งานประติมากรรม แล้วก็งานดอกไม้สด ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่คุณแม่ (วาสนา สายมา) กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับงานจักสาน ต้องเข้าไปทำงานกับชาวบ้าน พอพวกเขาทำงานกลับมา เรารู้สึกว่างานฝีมือเหล่านั้นแม้จะละเอียดมากแต่ก็ยังดูเชย ก็เลยเป็นที่มาของแบรนด์ Vassana” จากแบรนด์จักสานได้พัฒนาต่อยอดมาสู่มาลัยถักร้อยจนแบรนด์ดัง Dior ติดต่อมาให้ช่วยสร้างสรรค์ผลงานเพื่อประดับตกแต่ง Dior Gold House นอกจากนี้เป้งยังออกแบบมาลัยอย่างงดงามเพื่อใช้ถ่ายปกนิตยสารโว้กประเทศไทยฉบับครบรอบ 13 ปีด้วย
“เป้งเป็นคนเชียงใหม่ เวลาว่างจะไปเดินตามถนนคนเดิน วันหนึ่งไปเจอคุณยายนั่งสานปลาตะเพียนอยู่บนรถเข็น ทำให้เรารู้สึกจุกอก เพราะภาพที่เราเห็นคือแกเอางานหัตถกรรมที่สานขึ้นมาไปขาย แต่คนที่ซื้อส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้องานหัตถกรรม เขาซื้อเพราะสงสาร เป้งก็เลยรู้สึกว่าคุณค่าของงานหัตถกรรมของเรากำลังจะหายไป เพราะไม่มีใครคิดที่จะต่อยอด จริงๆ แล้วงานหัตถกรรมพวกนี้เป็นเรื่องราวของบรรพบุรุษของพวกเรา พอคิดว่าวันหนึ่งงานพวกนี้จะหายไปก็รู้สึกใจหาย” เป้งจึงเริ่มคิดที่จะพัฒนาโดยใช้ความเป็นศิลปินของตัวเองเข้ามาช่วย “พอดีกับช่วงนั้นคุณแม่ทำวิจัยเรื่องจักสาน เราเลยได้ลงพื้นที่ ทำให้รับรู้ว่าคนส่วนใหญ่ที่ทำงานนี้เป็นผู้สูงอายุ ประกอบกับงานจักสานของภาคเหนือละเอียดสู้ที่อื่นไม่ได้ เพราะเขาเน้นการใช้งาน เรื่องความสวยไม่ต้องพูดถึง (หัวเราะ) คือไม่ได้สวยเท่าบรรทัดฐานที่งานจักสานควรจะสวย พอไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ความงาม มาตรฐานของงานจักสานทางเหนือก็เลยเริ่มถดถอย เป็นการสานเพื่อใช้กันเองในครัวเรือนเท่านั้น”

นั่นคือที่มาของการต่อยอดงานพื้นถิ่นซึ่งรวมไปถึงการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับชุมชนที่เขาดูแลด้วย ด้วยเหตุนี้ไอเดียการทำมาลัยจากงานจักสานจึงเกิดขึ้น “จักสานทางเหนือจะเป็นลวดลายที่ทางวาสนานำมาใช้เป็นหลักคือรูปดอกไม้ เอามาใส่ในสุ่มดอก ดอกไม้ตัวนี้เลยถูกเรียกว่าดอกซอมหรือซอมดอก ซึ่งสิ่งที่ซ่อนอยู่ในลายสานคือความงามของศรัทธาที่เขามีวิริยอุตสาหะทำบางอย่างเพียงเพื่อนำไปกราบไหว้พระ กราบไหว้สิ่งที่พวกเขาศรัทธา เป้งว่าเป็นภาพความงดงามของแรงศรัทธา” ดอกไม้จากงานจักสานจึงต่อยอดมาเป็นพวงมาลัยและงานดอกไม้ไทย
“ด้วยความที่งานจักสานของวาสนาส่วนใหญ่จะสานออกมาเป็นดอกไม้ เราก็คิดต่อว่าถ้าเรานำงานดอกไม้ไทยหรือดอกไม้สดที่เราถนัดมาจัดใหม่ในรูปแบบของงานหัตถกรรมจักสาน ก็น่าจะเกิดมุมมองใหม่ๆ เราจึงเอามาพัฒนาและต่อยอดเป็นการสานดอกไม้และพวงมาลัย ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาลงตัวทีเดียว อย่างที่เราร่วมงานกับ Dior แบรนด์ให้โจทย์ออกแบบตัวสินค้าที่เป็นไอคอนิกของแบรนด์ เราพูดถึงเรื่องดอกไม้ เรื่องวิถีชีวิต และเรื่องความเป็นไทย การร้อยดอกไม้ทุกดอกต้องเท่ากันอันนี้คือขนบของคนไทย แต่กับยุคสมัยใหม่การอยู่ด้วยกันของดอกไม้ไม่จำเป็นต้องเรียงเท่ากัน มีดอกเล็กบ้างใหญ่บ้าง เราก็เลยนำมาประยุกต์แล้วถ่ายทอดออกมาในผลงานชิ้นนี้ ใช้ชื่อว่า “มาลา” ที่แปลว่าดอกไม้ และยังพ้องกับคำว่า “มาลัย” นี่คือความเป็นไทยที่แบรนด์วาสนาพยายามใส่ลงไปในงานชิ้นนี้”

เป้งเปรียบงานจักสานของเขาเป็นเหมือนชุมชนหรือสังคมที่ต้องอยู่กันเป็นหมู่เป็นเหล่าถึงจะเกิดเป็นภาพของวิถีชีวิต เพราะงานจักสานจะสานออกมาเป็นภาพเรื่องราวของวิถีชีวิตคน แนวคิดการทำงานที่ละเอียดลออเช่นนี้ต้องใช้การสังเกตและการเข้าไปคลุกคลีกับชุมชน ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาแม้จะเผชิญกับความยากลำบากในการสร้างแบรนด์ เขาก็ไม่เคยยอมแพ้ “เวลามีปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ เข้ามา เราจะหันกลับไปมองคนข้างหลังตลอด คุณแม่ คุณป้า คุณน้า คุณยายที่เขานั่งสานให้เรา พวกท่านอายุเยอะแล้ว แต่ก็ยังยินดีที่จะทำงานจักสานให้เรา บุคคลเหล่านี้คือกำลังใจที่ซัปพอร์ตเป้งมาตลอด และมีเราเป็นผู้นำ เพราะฉะนั้นเราจะล้มไม่ได้”
นอกจากการพัฒนารายได้ให้กับชุมชนแล้ว เป้งยังมีความตั้งใจที่จะอนุรักษ์งานนี้ไว้ให้คนรุ่นต่อๆ ไปด้วย เขามองว่างานจักสานเหมือนสมุดบันทึกชีวิตที่คนทำจดบันทึกเรื่องราวของตัวเองเอาไว้ในงานของตัวเอง และอาจเป็นดิจิทัลฟุตพรินต์เพียงชิ้นเดียวในโลกที่เป็นตัวแทนของคนสานในวันที่เขาจากโลกนี้ไปแล้ว “ทุกวันนี้ช่างในสายงานหัตถกรรมเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ เพราะคนทั่วไปไม่เห็นคุณค่าของงานเหล่านี้ เราเลยคิดหาวิธีการที่จะต่อยอดให้กับพวกเขา ให้งานหัตถกรรมเหล่านี้ยังคงอยู่ และที่สำคัญเพราะเราคิดว่าคนเหล่านี้คือครอบครัวของเรา เราต้องทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้น เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจหน้าบ้านเราต้องดีก่อน เป้งเลยพัฒนางานให้มีมูลค่ามากพอที่จะไปแตะในราคาที่ผู้ซื้อไม่มองว่าแพงเกินไป และผู้ขายไม่ได้ตั้งราคาถูกจนเกินไป พูดง่ายๆ คือเราพยายามจะอัปราคาเพื่อให้มันสมเหตุสมผลกับฝีมือของพวกเขา เพราะสิ่งที่คนซื้อจะได้ไม่ใช่แค่ผลงาน แต่เป็นประสบการณ์ทั้งชีวิตของช่างสานซึ่งประเมินค่าไม่ได้” เขาจึงพยายามให้ความรู้กับช่างฝีมือด้วยการเข้าไปช่วยเหลือเรื่องการออกแบบให้เข้ากับยุคสมัยและความต้องการของคนที่เปลี่ยนไป รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนและการจัดการขยะ

“เราสามารถพูดได้เต็มปากว่าเราเป็นแบรนด์ Green craft แม้กระทั่งน้ำยาที่ช่วยยืดอายุวัสดุเราก็เลือกใช้น้ำยาที่เป็นภูมิปัญญาจากชาวบ้าน เช่น ไม้ไผ่ เราใช้น้ำส้มควันไม้เพื่อกันเชื้อรา เราพยายามทำให้ทุกขั้นตอนของเราเป็นกรีนคราฟต์มากที่สุด วัสดุอย่างไม้ไผ่ที่เรานำมาใช้ เราใช้ได้ทุกส่วนจริงๆ แทบจะเรียกว่า Zero waste หรือแม้กระทั่งกระบวนการทำงาน ถ้าไม่นับเรื่องการขนส่ง (หัวเราะ) จะไม่มีคาร์บอนฟุตพรินต์ ดิจิทัลฟุตพรินต์เลยเพราะทุกอย่างเกิดจากการใช้มือ ไม่มีเครื่องจักรใดๆ เพราะฉะนั้นความยั่งยืนจึงถือเป็นจุดแข็งของแบรนด์วาสนาด้วย”
แม้จะได้ร่วมงานกับแบรนด์ดังระดับโลกและผลักดันผลงานของตัวเองจนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่เป้งรู้สึกว่ายังพูดได้ไม่เต็มปากว่าตัวเองประสบความสำเร็จ ขอเรียกว่าเป็นการก้าวไปข้างหน้ามากกว่า เป้าหมายของเขาคือการเดินหน้าต่อเพื่อให้คนข้างหลังมีคุณภาพชีวิตที่ดี ตลอดจนผลักดันวงการหัตถศิลป์ไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากลและสร้างมูลค่าให้งานแขนงนี้ สำหรับคนที่อยากเดินตามรอยแบรนด์วาสนา เป้งแนะว่า “อยากให้งานของวาสนาเป็นตัวอย่างให้กับคนทำงานด้านหัตถศิลป์ด้วยกัน ไม่ว่าตอนนี้คุณจะอยู่จุดไหน อย่าหยุด อย่าท้อ เพราะวันหนึ่งคุณจะไปถึงจุดที่คุณฝันด้วยตัวคุณเองแน่นอน”
1 / 2
2 / 2

Jonathan Anderson เตรียมเดบิวต์ Dior Men คอลเล็กชั่นแรกด้วยผลงานเสื้อผ้าบุรุษในเดือนนี้!

เป็นไปตามคาด! ‘Jonathan Anderson’ ควบตำแหน่งผู้กุมบังเหียน Dior ทั้งเสื้อผ้าบุรุษและสตรี

เตรียมลุ้น! ‘Jonathan Anderson’ อาจขึ้นแท่นกุมบังเหียน Dior ทั้งฝั่งเสื้อผ้าบุรุษและสตรี


