voguemore jinjin yu prada fall winter 2023 collection interview
FASHION

#VOGUEMORE ‘จิงจิง-ปริยพิญช์’ หญิงสาวที่ใช้ความกล้าเป็นกุญแจเปิดประตูแห่งโอกาสเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ

เปิดเส้นทางสายอาชีพหลายแขนงของ 'จิงจิง-ปริยพิญช์ ยู' นางแบบมากความสามารถที่่โลดแล่นในอุตสาหกรรมแฟชั่นและบันเทิงทั้งไทยและต่างประเทศมาตั้งแต่อายุ 15 ปี พร้อมเจาะลึกมุมมองความคิดที่ช่วยนำพาให้เธอก้าวไปสู่ความสำเร็จ

ช่างภาพ: ธาเกียรติ ศรีวุฒิชาญ

สไตลิสต์: สลาลี สมบัติมี

ผู้ช่วยสไตลิสต์: ทิศากร กุญชรนอก

ช่างหน้า: สันติ กิจเจริญ

ช่างผม: มิญช์ บุญสอด

โททัลลุค: Prada

กราฟิก: บพิตร วิเศษน้อย

 เรื่องและสัมภาษณ์: ธนภพ ณ ตะกั่วทุ่ง

--------------------------------------------------------------------------------

          ในปัจจุบันโลกของเราได้ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว เมื่อทุกคนที่มีพรสวรรค์สามารถใช้โซเชียลมีเดียเป็นแพลตฟอร์มในการสร้างคอนเทนต์ให้กลายเป็นกระแสนิยมและนำไปสานต่อเป็นอาชีพ ‘ไอดอล’ หรือ ‘คอนเทนต์ครีเอเตอร์’เพื่อจะได้มีชีวิตตามแบบไลฟ์สไตล์ที่หลายคนฝันไว้ ซึ่งหนึ่งในไอดอลที่สาวไทยพูดถึงและยกให้เป็นแบบอย่างคือ ‘จิงจิง-ปริยพิญช์ ยู’ นางแบบสาวลูกครึ่งไทย-จีนมากความสามารถที่ปรากฏตัวบนรันเวย์และภาพแคมเปญแบรนด์ดังของประเทศเกาหลีใต้อยู่เป็นประจำ รวมถึงเป็นนักแสดงภาพยนตร์และสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปในอุตสาหกรรมบันเทิงไทย  โดยหลายคนอาจจะคิดว่าความสำเร็จในการเป็นไอดอลของเธอนั้นเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา  ทว่าที่จริงแล้วเธอเริ่มต้นวางเส้นทางอาชีพของเธอในฐานะนางแบบตั้งแต่อายุ 15 ปี ก่อนที่ความสามารถ โชคชะตา และความกล้าหาญจะนำเธอไปสู่เส้นทางสายอื่นที่เธอตัดสินใจเลือกเดินอย่างไร้ความเกรงกลัว 

          เมื่อถามถึงเหตุผลในการเลือกประกวดเดินแบบเวที Thai Super Model เมื่อปี 2012 จนได้รับชัยชนะมาครองได้สำเร็จว่ามันคือการวางแผนชั้นยอดของเธอหรือไม่ นางแบบสาววัย 27 ปีกลับเผยว่าความฝันและความตั้งใจแต่แรกของเธอที่จริงแล้วคือการเป็นนักเต้น โดยเธอได้กล่าวว่า “ตอนเด็กๆ จำได้ว่าชอบเต้นมากเลยร้องไห้ขอแม่ไปเรียนเต้น ระหว่างที่เรียนจริงๆ ก็เคยเป็นพิธีกรรายการแก๊งการ์ตูนมาก่อนด้วย แต่โรงเรียนกลับเห็นแววว่าเราแขนยาว ขายาว คอยาว หน้าแปลก เลยคุยกับคุณแม่ให้ลองสมัครประกวดเดินแบบดู” ซึ่งจิงจิงยังเผยต่อว่าตอนแรกไม่ได้คิดจะประกอบอาชีพนางแบบอย่างจริงจัง แต่ด้วยความราบรื่นในการทำงานในฐานะนางแบบทำให้เธอสามารถโลดแล่นบนรันเวย์ได้อย่างต่อเนื่อง



WATCH




         

          จนกระทั่งในปี 2015 จิงจิงใช้ความกล้าหาญเป็นกุญแจในการเปิดประตูสู่เส้นทางใหม่อีกครั้ง ด้วยการแพ็กกระเป๋าและบินไปแคสต์งานที่ประเทศเกาหลีใต้ ทั้งๆ ที่ไม่สามารถพูดภาษาถิ่นได้แม้แต่น้อย ซึ่งจิงจิงนั้นเป็นนางแบบต่างชาติคนแรกของ Esteem Model Entertainment โดยเธอกล่าวว่า “สมัยก่อนยุคโควิดประเทศเกาหลีไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเยอะเหมือนทุกวันนี้ ตอนนี้จึงใช้ชีวิตง่ายกว่า ซึ่งจิงไม่ได้เป็นคนเก่งภาษาแต่เราเป็นคนหัวไว มีความจำดี เลยทำให้เข้าใจสถานการณ์ง่าย จึงเอาตัวรอดในการทำงานต่างประเทศได้” เธอยังให้มุมมองว่าจริงๆ แล้วอุปสรรคในการทำงานไม่ใช่กำแพงทางด้านภาษาเหมือนที่หลายคนอาจจะกำลังลิมิตตัวเอง แต่กำแพงที่แท้จริงคือความกลัวในการลงมือทำ พร้อมแนะนำว่า “ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ อย่ากลัวที่จะลงมือทำ ถ้าเทียบกับการเรียนในห้องแล้ว ประสบการณ์มันสอนเราเร็วกว่า ช่วงแรกจิงสื่อสารไม่ได้เลยทั้งพูด อ่าน หรือเขียน แต่สุดท้ายเราก็อยู่ได้และงานจะตามมา”

         

          หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมาพักใหญ่ จิงจิงต้องบินกลับมาพักอยู่ไทยนานถึง 3 ปีเนื่องจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ซึ่งในขณะที่อยู่ที่ไทยเธอก็มีโอกาสได้กลับมาสานความฝันแรกในการเป็นนักเต้นและศิลปินในวงเกิร์ลกรุ๊ปโปรเจกต์ ราตรี  2021 กับการนำเพลงฮิตสุดไอคอนิก ‘จีนี่จ๋า’ มารีเมกใหม่ รวมถึงกลับมาเดินหน้าในอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยอย่างจริงจังอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงานกับแบรนด์แฟชั่นระดับโลก หรือการเป็นโซเชียลมีเดียสตาร์ที่สาวไทยต่างนำคอนเทนต์สไตล์ของเธอมาทำตามอย่างล้นหลาม เธอได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับความมาแรงของนางแบบยุคดิจิทัลว่า “ทุกวันนี้การเป็นนางแบบเป็นอะไรที่ง่ายมากถ้าเทียบกับในช่วงยุคที่จิงเริ่มอาชีพนี้ ทุกคนสามารถมีโอกาสในการโปรโมตตัวเองได้หลายช่องทาง” พร้อมยังเผยถึงความแตกต่างระหว่างการเป็นนางแบบบนโซเชียลมีเดียและนางแบบผ่านเลนส์ของช่างภาพมืออาชีพว่า “ถ้าเราถ่ายในไอจีมันก็จะเป็นการเล่าเรื่องผ่านไลฟ์สไตล์ของเรา ซึ่งเราสามารถแสดงความเป็นตัวเองได้เต็มที่ แต่ถ้าเป็นการทำงานในกองแฟชั่นเซ็ตแบบวันนี้ เราจะถูกบรีฟมาแล้วว่าอยากให้มู้ดและโทนไหน ก็จะมีการทำการบ้านมาก่อน ซึ่งการถ่ายแบบวันนี้ก็ไม่ใช่สไตล์ที่ถนัดเลย ปกติจิงถนัดเป็นแนวซ่าๆ มากกว่า ไม่ค่อยถ่ายแบบนิ่งๆ (หัวเราะ)”

         

          โดยครั้งนี้จิงจิงได้นำเสนอผลงานแฟชั่นคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาวประจำปี 2023 จากแบรนด์สัญชาติอิตาเลียน Prada ซึ่งได้บัญญัตินิยามของความงามในรูปแบบใหม่ ผ่านดีไซน์เสื้อผ้าเรียบโก้ที่ตั้งใจสร้างสรรค์ให้เป็นสไตล์ยูนิฟอร์ม ซึ่งสามารถนำมาสไตลิ่งได้อย่างสนุกสนานทั้งสำหรับลุคออฟฟิศและลุคงานปาร์ตี้สังสรรค์ จนไปถึงการรังสรรค์กระโปรงสีขาวประดับดอกไม้สามมิติที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชุดแต่งงาน โดยสามารถนำมาสวมเป็นลุคแคชชวลในโอกาสอื่นได้ ซึ่งถือเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการประหยัดทรัพยากรและลดความต้องการในการรังสรรค์ไอเท็มฟุ่มเฟื่อยที่จะนำไปสู่แฟชั่นยั่งยืน ทว่ายังคงสีสันของการเป็นแฟชั่นในยุคปัจจุบันด้วยผลงานที่เป็นคีย์หลักประจำซีซั่นอย่าง ‘Arqué’ กระเป๋าถือรูปดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่มาแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะยังคงเป็นไอเท็มที่ครองเทรนด์ในโลกแฟชั่นจนกลายเป็นหนึ่งในกระเป๋าดีไซน์คลาสสิกแห่งยุคดิจิทัล

         

          แน่นอนว่าวันหนึ่งทุกเส้นทางสายอาชีพต่างต้องเดินมาถึงทางแยก ไม่ว่าจะเป็นการรับหน้าที่ใหม่คู่ไปกับอาชีพเดิมหรือจะการเปลี่ยนผันไปลองสิ่งอื่นโดยสิ้นเชิง ทั้งหมดล้วนแล้วคือการเติบโตที่ทุกคนไม่สามารถเลี่ยงได้ ซึ่งนางแบบสาวก็ได้ลองทำมาหลายอย่าง ทั้งการเป็นนักแสดงภาพยนตร์ ศิลปินเกิร์ลกรุ๊ป หรือนักแสดงละครในโปรเจกต์ใหม่อย่าง ‘นาคา เดอ ซาลอน’ ที่กำลังถ่ายทำอยู่ขณะนี้ โดยเธอยังเผยถึงแผนการในอนาคตในเส้นทางอื่นที่นอกเหนือจากในอุตสาหกรรมแฟชั่นและบันเทิงว่า “จิงมีพี่น้องเป็นผู้หญิงหมดเลย อย่างน้องสาวจิงก็เก่งในด้านการทำโปรดักชั่นเบื้องหลัง พี่สาวจิงก็เก่งด้านวิศวะเคมี ก็เลยตั้งใจมีแผนอยากจะทำธุรกิจครอบครัวด้วยกัน กำลังมองไว้ว่าอาจจะเป็นสกินแคร์ เครื่องสำอาง หรืออาหารเสริมในช่วงอีก 3-4 ปีที่กำลังจะถึงนี้ ตอนนี้ต่างคนต่างเก็บประสบการณ์กัน” ซึ่งไม่ว่าจิงจิงจะเลือกเปิดประตูสายอาชีพไหน หลายคนก็มั่นใจได้ว่าเธอจะสร้างปรากฏการณ์และเสียงฮือฮาเหมือนกับที่ผ่านมาอย่างแน่นอน ด้วยความกล้าหาญและไหวพริบในการเรียนรู้อันรวดเร็วเพื่อเป็นกุญแจสำคัญที่จะการันตีความสำเร็จในทุกเส้นทางที่เธอเลือกเดิน

WATCH

คีย์เวิร์ด: #VOGUEMORE #prada #jingjingyu