FASHION

#VOGUEMORE สัมผัสตัวตนหลากหลายมุมของ 'มินนี่ (G)I-DLE' อีกหนึ่งสาวไทยในวงการเคป็อปที่ต้องจับตามอง!

มินนี่บอกกับโว้กว่า "ดนตรีไม่มีพรมแดน เราสามรารถสื่อสารกันผ่านทางดนตรีได้ไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไร จริงอยู่ที่เราอาจจะไม่เข้าใจ แต่เราสามารถเพลิดเพลิน และมีความสุขไปกับมันได้ เหมือนเราได้รับพลังงานจากการฟังเพลงก็แค่นั้น"...

ช่างภาพ : สุดเขต จิ้วพานิช

สไตลิ่ง : ตะวัน ก้อนแก้ว

นางแบบ : ณิชา ยนตรรักษ์

แต่งหน้า : จิรายุ ดีสาระ

ทำผม : มนัสวีย์ กิจพิสุทธิ์

บรรณาธิการดิจิทัลด้านแฟชั่น : ปภัสรา นัฏสถาพร

เรื่องและสัมภาษณ์ : พีรณัฐ จันทร์สกุลณี

อาร์ตไดเร็กเตอร์ : วิวาน วรศิริ

กราฟิกดีไซเนอร์ : บพิตร วิเศษน้อย

 

     หากย้อนกลับไปในวัย 24 ปีของผู้อ่าน คุณจำได้ไหมว่าตอนนั้นคุณกำลังทำอะไรอยู่...บางคนเพิ่งสำเร็จการศึกษา บางคนเพิ่งเริ่มทำงานแรกในชีวิต และหลายคนก็คงกำลังเริ่มต้นเส้นทางอะไรบางอย่างในชีวิตในช่วงวัยนั้น แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่สำหรับ "มินนี่ (G)I-DLE" อีกหนึ่งศิลปินสาวมากความสามารถในอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วเกือบทุกบทบาทในวัยเพียง 24 ปี ตั้งแต่การเดบิวต์เป็นศิลปินสมาชิกวง (G)I-DLE, การชิมลางงานแสดงซีรีส์ จนกลายเป็นที่พูดถึงไปทั่วโลกโซเชียลมีเดีย กระทั่งการแสดงทักษะด้านการแต่งเพลง ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งหมดที่พูดมานี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาแค่ 3 ปีในชีวิตของมินนี่ ที่วันนี้โว้กประเทศไทยไม่พลาดพาคัฟเวอร์เกิร์ลคนล่าสุดบนปก VOGUE MORE มานั่งพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก จนถึงปัจจุบันว่า กว่าที่จะมาเป็นมินนี่อย่างที่ทุกคนเห็นอย่างทุกวันนี้ เธอต้องฝ่าฟันเรื่องราวอะไรมาบ้าง...

     V : ย้อนกลับไป เด็กผู้หญิงที่ชื่อ “มินนี่” เป็นเด็กแบบไหน

     M : ตอนเด็กๆ ก็เป็นเด็กที่มีความฝันอยากจะเป็นศิลปิน ซึ่งเราก็พยายามเรียนรู้เพื่อที่จะเป็นศิลปินให้ได้

     V : ถ้าย้อนกลับไปได้อยากบอกอะไรกับเด็กที่ชื่อ “มินนี่”

     M : อยากบอกว่า เธอน่าจะตั้งใจเรียนเปียโนให้มากกว่านี้ ด้วยความที่ชอบก็จริง แต่ว่าตอนเด็กๆ จะเป็นคนที่ขี้เกียจซ้อมเปียโน แล้วก็มักจะโดนคุณแม่บ่นอยู่เสมอว่า ทำไมไม่ซ้อม

     V : เล่นเปียโน กับ ร้องเพลง ชอบอะไรมากกว่ากัน

     M : เดิมทีมินนี่เริ่มเรียนเปียโนก่อน ก็คิดว่าชอบเปียโนอย่างเดียว แต่พอมีโอกาสมาเรียนร้องเพลงด้วย เราก็รู้สึกว่าเรามีความสนุกกับตรงนี้ คือชอบทั้งสองอย่าง แต่ถ้าถามให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คงตอบว่าตอนนี้ชอบร้องเพลงมากกว่านิดนึง

     V : จุดเปลี่ยนที่ทำให้มินนี่ ได้ไปเดบิวต์เป็นศิลปินของวง (G)I-DLE

     M : ทางค่ายน่าจะเล็งเห็นบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นเอกลักษณ์ในเสียงของเรา ตอนที่ออดิชั่นก็คือแค่ร้องเพลงเฉยๆ แล้วที่ค่ายก็ถามว่าสามารถร้องเพลงแนวอื่นๆ อีกได้ไหม ก็ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจเราในด้านการร้องเพลง แล้วยิ่งเราบอกว่าเราสามารถเล่นเปียโนได้ และก็ร้องเพลงไปด้วยได้ ก็ยิ่งทำให้ทางค่ายยิ่งดูสนใจในตัวเรามากขึ้น แล้วพอได้มีโอกาสมาฝึกกับที่ค่ายจริงๆ เราก็ได้พัฒนาทั้งสองด้านนี้อย่างจริงจัง ซึ่งมินนี่คิดว่ามินนี่พัฒนาเร็วขึ้นกว่าอยู่ที่ไทยนะ เพราะเราได้เรียนทุกวัน แล้วพอเราตั้งใจฝึกฝนทุกวัน มันก็เลยทำให้เราพัฒนาเร็ว

     V : ไปเกาหลีครั้งแรก เจอ Culture Shock อะไรบ้างไหม

     M : อันดับแรกคือหนาวมาก แล้วเราเป็นคนขี้หนาวอยู่แล้ว จำได้ว่าบอกแม่เลยว่ามินนี่จะอยู่ได้ไหมแม่ คือมันหนาวมาก หนาวจนหูแดง แข็งไปหมดเลย แล้วอันดับสองก็เป็นเรื่องของอาหาร คือรสชาติมันต่างกันหมดเลยนะคะ แต่ตอนที่เราไปเห็นครั้งแรกก็งงว่า ทำไมทุกอย่างมันแดงไปหมดเลย แล้วส่วนใหญ่ เขาก็จะชอบสั่งอาหารเป็นหม้อไฟมากินด้วยกัน

     V : ปีนี้เป็นปีที่สาม ที่ได้เดบิวต์ในฐานะสมาชิกวง (G)I-DLE คิดว่าตัวเองโตขึ้นมาแค่ไหน

     M : รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก พอย้อนกลับไปดูคลิปเดบิวต์เก่าๆ ก็รู้สึกว่าเราพัฒนามาจากจุดนั้นเยอะมาก ตอนแรกก็แอบคิดว่าเราพร้อมมากแล้วนะในตอนที่เราจะเดบิวต์ แต่พอย้อนกลับไปดูคลิปเก่าๆ ก็ยังเห็นว่าเขินกล้องอยู่เลย แต่ตอนนี้ก็ยังเขินอยู่นะ แต่น้อยลงกว่าเมื่อก่อน

     V : การเป็นศิลปินสอนอะไรเราตลอดสามปีที่ผ่านมา

     M : มินนี่ไม่เคยทำงานที่ไหนมาก่อนเลย เราไปเริ่มทำงานที่นู่นเป็นที่แรก ฉะนั้นเรามีความรู้สึกว่าเราต้องมีความอดทนมาก เพราะตารางงานเราก็เยอะ แล้วเราก็ต้องบริหารจัดการกับความเหนื่อย ความเครียด และอะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งมันอาจจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของเรา ทำให้เราทำงานได้ไม่เต็มที่ แล้วถ้าเราทำงานได้ไม่เต็มที่ แฟนๆ ก็อาจจะได้รับพลังงานที่ไม่ได้ดีที่สุดของเราไป เราก็เลยพยายามจะรักษาตัวเองในอยู่ในอารมณ์ที่ดี และมีพลังงานด้านบวกอยู่เสมอ และที่สำคัญเลยก็คือ ถ้าเราพยายาม ไม่ว่าจะอย่างไรเราก็ทำได้ จากที่มินนี่เต้นไม่ได้เลย ตอนย้อนดูคลิปออดิชั่นตัวเองแล้วก็เกิดคำถามว่า เธอทำอะไร แต่ตัดภาพมาตอนนี้เราเต้นได้แล้ว จากที่ร้องเพลงก็เฉยๆ ตอนนี้ก็รู้สึกว่าเราร้องเพลงดีขึ้น มีความมั่นใจที่จะโชว์มากขึ้น แม้ว่าจะต้องซ้อมเยอะกว่าคนอื่นหน่อย แต่ว่ามันก็ทำได้

     V : มินนี่ไม่ได้แค่ร้องเพลง แต่แต่งเพลงเองด้วย

     M : คือเราชอบเรื่องดนตรีมาก มีความฝันว่าเราจะต้องแต่งเพลงให้ได้สักวันหนึ่ง เพราะเรารู้สึกว่ามันเท่มาก และก็ฝันมาตลอดว่าอยากจะเป็น Singer and Songwriter แต่งเพลงจากที่เล่นเปียโนนั่นแหละ แล้วพอมาอยู่ที่ Cube Entertainment ก็ได้มีโอกาสเรียนแต่งเพลง จำได้ว่าตอนนั้นฝึกได้ประมาณสองปีแล้ว จนเราสามารถพูดภาษาเกาหลีได้ สามารถสื่อสารรู้เรื่องระดับหนึ่ง ค่ายก็เลยยอมให้เรียนแต่งเพลง ก็เริ่มเขียนเพลงเป็นภาษาเกาหลีตั้งแต่ตอนนั้น ตอนแรกก็คิดว่ายาก เพราะขนาดแต่งเป็นภาษาไทยเรายังไม่เคยแต่งเลย แล้วเราจะแต่งภาษาเกาหลีได้เหรอ แต่ก็ฝึกไปเรื่อยๆ แล้วก็เรียนรู้ไป มีพี่ๆ โปรดิวเซอร์คอยช่วยเหลือ และด้วยความที่สมาชิกคนอื่นก็แต่งเพลงเหมือนกัน เขาก็จะมาช่วยดูเรื่องแนวเพลงให้ จริงๆ ก็ยากแหละกว่าจะได้เพลงมามันไม่ใช่ดีดนิ้วแล้วได้เพลงมาเลย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเครียดว่าเราต้องเขียนให้ได้ เราก็พยายามเท่าที่เราสามารถทำได้ก่อน พอเราเริ่มฝึกฝนไปได้เรื่อยๆ เราก็จะเริ่มคล่องมากขึ้น



WATCH




     V : ล่าสุดกับซีรีส์เรื่อง So Not Worth It เริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร

     M : สำหรับงานแสดงครั้งนี้ได้รับโอกาสจากทางเน็ตฟลิกซ์ แล้วก็ทางค่ายที่อนุญาตให้ไปออดิชั่น ซึ่งบทตอนแรกเลยก็คือเป็นเด็กต่างชาติ ซี่งเราก็เป็นเด็กต่างชาติที่อาศัยอยู่ที่เกาหลีพอดี ก็น่าจะมีอะไรหลายๆ อย่างที่เชื่อมโยงกันได้ แล้วผู้กำกับก็เห็นแววว่า มินนี่น่าจะเข้ากับคาแร็กเตอร์นี้ ก็เลยได้โอกาสนี้มา ซึ่งเมื่อตอนที่ไปแคสต์ก็ยอมรับว่าไม่เคยแสดงมาก่อนเลย อาศัยอ่านบทแล้วก็เล่นตามที่เราเข้าใจ แต่ก็โชคดีที่ว่าผู้กำกับดันชอบความเป็นธรรมชาติในการแสดงของเรา แล้วผลตอบรับก็ดีมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากๆ เพราะพอมาเดบิวต์ในฐานะของนักแสดงครั้งแรก ตอนนั้นยอมรับว่ามีความกังวลเยอะมาก ด้วยความที่เป็นผลงานการแสดงเรื่องแรก แต่พอกระแสตอบรับดีแบบนี้ก็หายเหนื่อยเลย

     V : อายุแค่ 24 ปี แต่ประสบความสำเร็จมากขนาดนี้ รับมือกับความดังอย่างไร

     M : เวลาที่เราจะพูดอะไรก็ต้องคิดให้เยอะขึ้น เพราะว่าเริ่มมีคนจับตามองเรา เริ่มมีคนสนใจ เริ่มมีคนรู้จักเราเยอะขึ้น เวลาจะทำอะไรเราก็จำเป็นต้องคิดเยอะๆ คิดให้รอบคอบ เพราะว่าจากเดิมที่เราไปเดินเล่นได้เหมือนคนปกติ จนวันหนึ่งไปเดินเล่นที่เดิมกับคุณพ่อคุณแม่ ไปเดินเล่นช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าของเกาหลี แล้วก็มีคนมาทัก มาขอถ่ายรูป ขอลายเซ็นต์ และกลายเป็นว่าคนที่ตื่นเต้นที่สุดคือคุณพ่อคุณแม่ แต่อย่างไรก็ต้องขอบคุณที่จำมินนี่ได้

     V : มีประสบการณ์ไม่รู้ลืมอยากเล่าให้โว้กฟังไหม

     M : น่าจะเป็นตอนขึ้นโชว์เวทีแรก โชว์ Latata ที่ M Countdown คือเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีใครมาดูเรามากขนาดนี้ แต่ว่าพอเพลงขึ้นแล้วได้ยินเสียงแฟนคลับร้องตะโกนไปพร้อมกับโชว์ของพวกเรา ก็ทำเอาหนูอึ้งไปเหมือนกัน ตกใจมาก แล้วก็ดีใจมาก คือตอนนั้นร้องไห้เลยว่ามีแฟนคลับมาดูเราเยอะขนาดนี้ อยากจะบอกว่าขอบคุณ แล้วก็คิดถึงแฟนๆ มาก เพราะตอนนี้ไม่ได้เจอแฟนๆ เลย ทำให้ได้รู้ว่าบรรยากาศแบบนั้นมันเป็นบรรยากาศที่มีค่ามากจริงๆ

     V : ถ้าสลับร่างกับเพื่อนร่วมวงได้หนึ่งคน อยากสลับร่างกับใคร

     M : ยากมากเลย เพราะสมาชิกวงทุกคนมีคาแร็กเตอร์เป็นของตัวเองชัดเจนมาก เป็นใครดี...เอาเป็นอูกีแล้วกัน เพราะอูกีเป็นเด็กที่มีเอเนอร์จี้ล้นหลามมาก มีพลังงานบวกในตัวเยอะมาก มาจากไหนไม่รู้ ซึ่งมินนี่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมาก

 

     V : ปกติต้องปรับลุคอยู่เรื่อยๆ แล้วตัวตนจริงๆ ของมินนี่เป็นคนแบบไหน

     M : มินนี่เปลี่ยนลุคบ่อยมาก แต่ละอัลบั้มก็จะลุคไม่เหมือนกัน ซึ่งเราก็จะเป็นคนหลักๆ ที่จะโดนเปลี่ยนลุคเยอะ ล่าสุดเปลี่ยนสีผมทุกคัมแบ็กเลย ซึ่งโดยปกติแล้วก็เป็นคนที่ชอบลองอะไรใหม่ๆ อยู่แล้ว ก็เลยโชคดีที่ได้มาทำงานตรงนี้ เพราะถ้าไม่ได้อยู่ตรงนี้ เราคงไม่ได้มานั่งย้อม นั่งเปลี่ยนสีผมบ่อยๆ แบบนี้ ก็ถือว่าลองไปให้เต็มที่เลย แล้วก็ดีใจที่แฟนๆ ชอบด้วย

     V : มีอะไรที่คิดว่าคนยังไม่รู้เกี่ยวกับตัวเราบ้าง

     M : จริงๆ แล้วเป็นคนรักสวยรักงามนะ เป็นคนชอบบิวตี้ ชอบดูคลิปแต่งหน้า หรือพวกคลิป What’s in my bag อยากรู้ว่าคนเขาพกอะไรกัน แล้วก็ชอบซื้อตาม หรือบางทีที่เห็นช่างแต่งหน้าใช้อะไร ก็จะถามเขา ถ่ายรูปเก็บไว้ แล้วก็ไปซื้อตาม

     V : รู้สึกอย่างไรที่ได้เป็นชาวต่างชาติที่ประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรม K-pop

     M : ดนตรีมันไม่มีพรมแดน เราสามารถสื่อสารกันผ่านทางดนตรีได้ไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไร จริงอยู่ที่เราอาจจะไม่เข้าใจ แต่เราก็สามารถเพลิดเพลิน มีความสุขไปกับมันได้ เหมือนเราได้รับพลังงานจากการฟังเพลงก็แค่นั้น ไม่จำเป็นต้องมานั่งฟังว่ามันแปลว่าอะไร ถ้าเรารู้สึกว่าเราชอบ และเราสามารถรับรู้ได้ผ่านทางเสียงดนตรีก็โอเคแล้ว แล้วมินนี่ก็รู้สึกดีที่ตอนนี้สามารถส่งต่อแรงบันดาลใจผ่านเสียงดนตรีให้กับแฟนๆ ทั่วโลกได้

     V : อนาคตของผู้หญิงที่ชื่อ “มินนี่” จะเป็นอย่างไรต่อไป

     M : ก็ยังเห็นตัวเองเป็น มินนี่ (G)I-DLE อยากทำงานกับวงไปนานๆ แล้วในอนาคตก็อาจจะเป็นมินนี่ที่ได้ลองทำงานหลากหลายมากขึ้น อาจจะได้เขียนเพลงหลายแนวมากขึ้น อาจจะได้ทำงานเบื้องหลังมากขึ้น อาจจะเต้นเก่งกว่าเดิม แล้วก็อาจจะได้แสดงบทเฟี๊ยซๆ หรืออะไรก็ตาม แต่ก็คงจะเป็นมินนี่ในเวอร์ชั่นที่เก่งขึ้นแน่นอน

     ใช่...เด็กสาวที่ชื่อมินนี่ในวัย 24 ปีวาดฝันอนาคตของเธอเอาไว้แบบนั้น แบบที่เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่เก่งขึ้น ตลอดการสัมภาษณ์ในครั้งนี้มี 2 สิ่งที่ทำให้โว้กมั่นใจได้ว่าภาพฝันในอนาคตของเธอคงไม่ไกลเกินเอื้อม นั่นก็คือรอยยิ้มที่เปื้อนใบหน้าตลอดการตอบคำถามด้วยความจริงใจ และสายตามุ่งมั่นที่พร้อมจะข้ามผ่านทุกขีดความสามารถ เพื่อมุ่งหน้าสู่เส้นชัยแห่งความสำเร็จที่เธอได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด...

WATCH

คีย์เวิร์ด: #VogueMore #Minnie(G)I-DLE