Vogue Thailand

FASHION

คุยกับ ซัน - พิทยา แพเฟื่อง หนุ่มพิจิตรครึ่งฝรั่งเศสผู้ปลดปล่อยความสาวผ่านการเต้น Vogue

Vogue ไม่ใช่แค่ชื่อของสื่อแฟชั่นหัวใหญ่ แต่คือวัฒนธรรมการเต้นสุดสนุกที่เกิดจากความอัดอั้นของชาว LGBT!

โดย Saisuree Mesiri
07 พฤษภาคม 2561

     คงอีกไม่นานเท่าไหร่ Vogue สำหรับคนไทยจะไม่ใช่แค่สื่อใหญ่สายเลือดแฟชั่นอย่างเราอีกต่อไป เพราะ ซัน - พิทยา แพเฟื่อง เด็กพิจิตรครึ่งฝรั่งเศสผู้จับพลัดจับผลูไปเติบโตที่นอร์เวย์ แม่แท้ๆ ยกให้ครอบครัวอุปถัมภ์เลี้ยงดู และสุดท้าย หลงรักการเต้นเป็นชีวิตจิตใจโดยเฉพาะสายโว้ก (Vogueing) หนึ่งในศิลปะใต้ดินที่หล่อหลอมมาจากความอัดอั้นของสังคม LGBT ซันเป็นคนไทยคนแรกๆ ที่ได้เรียนรู้วัฒนธรรมและการเต้นโว้กแบบคลุกวงในจาก 'Amazon' หนึ่งในครอบครัวโว้กชื่อดังติดอันดับในมหานครนิวยอร์ก แถมตอนนี้เขาได้บินกลับมาเป็นศิลปินพำนักในไทย ณ Tentacles Art Space ตระเวนสอนเต้นในราคา 50 บาท พร้อมๆ ไปกับการมองหาเด็กรุ่นใหม่มาร่วมปลูกเมล็ดพันธุ์โว้กให้เติบโตในไทยไปกับเขาด้วย

คุณเพิ่งย้ายกลับมาจากนอร์เวย์
     ใช่ ย้ายกลับมาได้ 5 ปีแล้ว จริงๆ เราเกิดที่จ.พิจิตรแล้วไปโตที่จ.เพชรบูรณ์ จนกระทั่ง 3 ขวบย้ายตามคุณแม่ไปอยู่ที่นอร์เวย์ คุณพ่อแท้ๆ ของเราเป็นคนฝรั่งเศส แต่ตอนหลังเลิกกับแม่เพราะที่บ้านของคุณพ่อไม่ยอมรับ หลังจากนั้นคุณแม่ก็มาเจอกับพ่อเลี้ยงที่เป็นชาวนอร์เวย์และทำให้ได้ย้ายไปอยู่ที่นั่น แต่ไม่กี่ปีต่อมา คุณแม่ก็ยกให้เราไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์แทน

เกิดอะไรขึ้น?
     เล่าคร่าวๆ ก่อนว่าที่นอร์เวย์จะมีโครงการ Foster Home หรือครอบครัวอุปถัมภ์ที่รับเลี้ยงเด็กๆ ที่พ่อแม่มีปัญหา เช่น ติดยา ติดเหล้า หรือชอบทำร้ายร่างกายลูก โดยครอบครัวอุปถัมภ์จะคอยดูแลไปจนกว่าเด็กจะอายุครบ 19 ปี สำหรับซันเองได้ย้ายไปอยู่กับครอบครัวใหม่ตอนอายุ 12 ปี ส่วนแม่ก็ย้ายกลับประเทศไทย เรากับพี่ชายฝาแฝดก็ได้อยู่กับครอบครัวใหม่ยาวเลย
     สาเหตุจริงๆ ที่แม่ยกให้ซันกับพี่ไปอยู่กับครอบครัวใหม่เพราะเขาอยากให้มีชีวิตที่ดีขึ้น มีโอกาสมากขึ้น เขารู้สึกว่าไม่สามารถเลี้ยงดูเราได้ดีเหมือนคนอื่นๆ เพราะเขาไม่สบายและไม่มีอาชีพ เลี้ยงชีวิตด้วยเงินจากรัฐบาลเท่านั้น

     สิ่งที่สัมผัสได้จาก 2 ครอบครัวคือ การเลี้ยงดูระหว่างครอบครัวไทยกับครอบครัวนอร์เวย์ค่อนข้างต่างกันมาก เหมือนคนไทยจะชอบเลี้ยงลูกให้เร่งเป็นผู้ใหญ่ โตเร็วๆ แต่ครอบครัวนอร์เวย์จะเข้าใจการใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นมากกว่า อีกอย่างคือคนไทยชอบตีลูก แต่ที่นอร์เวย์คือห้ามตีเลย เป็นกฎหมายที่เข้มงวดมาก ทำให้หลายครอบครัวคนไทยที่ย้ายไปอยู่ที่นอร์เวย์แล้วเจอกับปัญหานี้ ซึ่งเราตอนเด็กๆ ก็เคยโดนคุณแม่ตีเยอะอยู่เหมือนกัน เวลาเขาดุจะขึ้นเสียงสูงมาก ใจเราตอนนั้นคือไม่ชอบเลย จนตอนหลังเขารู้สึกผิดแล้วเข้ามาขอโทษ

Article

แต่สุภาษิตไทยบอกว่า ‘รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี’
     คืออะไร? ทำไมรักลูกแล้วถึงไปตีเขาล่ะ? มันมีตัวอย่างบนโลกนี้อีกมากมายที่พ่อแม่ไม่ต้องตีลูก แล้วลูกก็โตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสังคมได้ รู้ไหมว่าพ่อแม่ตีลูกเพราะอะไร เพราะพวกเขาไม่มีสติ ไม่อยู่กับปัจจุบัน คุณตีเพื่อความรู้สึกของตัวเองที่รู้สึกว่าลูกทำผิด ไม่ทำตามที่เราสอน นี่แสดงว่าใช้อีโก้มาก เราโมโหเพราะรู้สึกว่าลูกทำไม่ดีอย่างที่เราตั้งใจใช่ไหมล่ะ 
     เด็กก็เป็นคนเหมือนกันกับเรา อย่าไปคิดว่าเราตีเขาได้ตามใจเพราะแค่เรามีอายุมากกว่า

ได้เจอคุณแม่แท้ๆ บ้างไหม
     ไม่นานมานี้เอง หลังจากที่ซันย้ายกลับมาอยู่ไทยประมาณ 5 ปีครึ่งที่แล้ว เขาก็โดนจับในข้อหาค้ายาและติดคุกอยู่ 2 ปี ทุกวันนี้เราก็ส่งเงินช่วยคุณแม่ทุกเดือนล่ะ แม่ที่นอร์เวย์ยังไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าทำไมต้องให้เงินแม่ เพราะวัฒนธรรมเขาไม่เหมือนกันกับเรา แต่เราเองก็อยากให้

เกิดอะไรขึ้นตอนแม่อุปถัมภ์รู้ว่าคุณเป็นเกย์
     ตอนแรกแม่อุปถัมภ์ก็เครียดและกังวลมากที่รู้ว่าเราเป็นเกย์ คือไม่ชอบเกย์เลย เขากลัวที่สุดคือกลัวว่าเราจะไปมีเซ็กซ์กับหลายคน จะติดเชื้อเอชไอวี และอะไรอีกหลายอย่างตามที่ผู้คนมองเกย์ในด้านลบเมื่อก่อน แต่สุดท้ายเขาก็ยังคอยดูและและสนับสนุนเราทุกอย่างเหมือนเป็นลูกชายจริงๆ สุดท้ายจนเราอายุครบ 19 ปีถึงย้ายออกจากบ้านไปเรียนต่อที่เมืองอื่น 
     เรารู้สึกผูกพันกับคุณแม่คนนี้จริงๆ เขารักลูกๆ มาก คอยบอกคอยย้ำเตือนตลอดว่าเรามีคุณค่าในชีวิตเยอะมากนะ

คิดยังไงที่สังคมยังมองเกย์ในด้านแย่ๆ
     คนมักจะมองว่าเกย์คู่กับยาเสพติด ซึ่งเราอยากบอกว่ามันไม่ใช่ทุกคน แต่ก็ยอมรับนะว่าในสังคมเกย์มีคนที่ไม่เคยลองยาอยู่น้อยมากๆ ซึ่งมันอาจส่งผลให้คนมองเกย์ในเชิงลบ แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่พอรู้ว่าใครเป็นเกย์ปุ๊บก็จะตัดสินทันทีว่าเป็นคนเลว อีกอย่างคือไม่ใช่แค่เกย์ แต่ผู้หญิงหรือผู้ชายแท้ก็เล่นยากันเยอะมาก ถึงจะเห็นบ่อยๆ ว่าเกย์เป็นเอชไอวีหรือเล่นยากันเยอะ แต่สุดท้าย คุณก็ไม่ควรนำเรื่องนี้มาเหมาะรวมกับทุกคนที่เป็นเกย์ 
     เวลาที่โดนตัดสินจากคนอื่นๆ เราจะไม่คิดมากนะถ้าเขาเอาเรื่องพฤติกรรม นิสัย หรือว่าการทำดี/ไม่ดีมาพูด แต่เราไม่ชอบถ้าเขามาตัดสินแค่ว่า ‘ก็เพราะเขาเป็นเกย์ไง’ เวลาเราจะมองใครน่าจะมองจากการกระทำมากกว่าภายนอก

แล้วคุณมาจริงจังกับด้านการเต้นได้ยังไง
     พอโตมาจนเริ่มเรียนไฮสกูล เราเลือกเรียนด้านวิจิตรศิลป์เพราะอยากเรียนอะไรที่สนุกและเราชอบ แล้วมาต่อที่ Oslo National Academy of the Art (KHiO) คณะ Modern and Contempolary Dance ซึ่งเป็นด้านการเต้นโดยเฉพาะ เราเริ่มเรียนที่ Jazz Dance ก่อน แล้วหัด Ballet และ Modern Dance เพิ่มต่อมา แรกๆ ยังไม่ได้ชอบ Vogueing แบบตอนนี้เลย

Article

ทำไมถึงเปลี่ยนใจจากสายที่เรียนมาและกลายเป็นโว้กเกอร์แบบนี้ 
     ที่ชอบโว้กเพราะเวลาที่เราเต้นคอนเท็มฯ เราต้องเอาตัวเองเข้าไปลึกมากๆ ตั้งแต่ร่างกายจนถึงจิต อีกอย่างคือสไตล์มันคนละแบบกันกับโว้กเลย โว้กมันทำให้เราสนุกและปลดปล่อยตัวเองออกมาได้เยอะมาก ซึ่งสายที่เราเต้นเป็น Vogue Femme มันทำให้เราจะแสดงความเป็นผู้หญิงในแบบ LGBT ออกมามากเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีการปิดกั้น ไม่มีกรอบอะไรเลยทั้งสิ้น
     อีกอย่างที่ทำให้เราหลงรักการเต้นโว้กคือเรื่องของวัฒนธรรมสนุกๆ ภายในสังคมนี้ ทั้ง Ball Culture (งานที่ชาว LGBT โดยเฉพาะในนิวยอร์กจะมารวมกลุ่มและแข่งเต้น เดิน และแต่งตัวกัน) และการแบทเทิลต่างๆ ทุกอย่างมันดูสุด มันเป็นพื้นที่ที่ทุกคนได้เป็นเปิดเผยความเป็นตัวเอง ตรงข้ามกับตอนอยู่ในสังคมทั่วไปคงทำแบบนั้นไม่ได้ ทั้งหมดนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้เราอยากเข้ามาค้นหาด้วยตัวเองว่า ‘วัฒนธรรมโว้ก’ คืออะไร

คุณปลดปล่อยอะไรออกมาในยามที่ตัวเองเต้นโว้ก
     เราปลดปล่อยทั้ง 'ความเป็นเรา’ และ 'สิ่งที่เราอยากจะเป็น' ไม่ว่ามุมที่เราออกหญิงมาก (ลากเสียงยาว) หรือการเป็นผู้หญิงที่ตอแหลมาก หรือเป็นหญิงที่แข็งแรงสุดๆ คือมันไม่มีกฎเกณฑ์อะไรเลย แค่คุณมีความเป็นผู้หญิงจากข้างในคุณก็สามารถนำมาแสดงออกในโว้กเฟมม์ได้แล้ว

เข้าไปคลุกวงใน Vogue ได้ยังไง
     เมื่อ 3 - 4 ปีก่อนบินไปทำงานที่นิวยอร์กกับทีมเต้นสิงคโปร์ เลยได้ไปเจอคุณแม่ Leiomy แห่ง House of Amazon ซึ่งเป็นหนึ่งในบ้านที่ดังติดอันดับของที่นั่น เแล้วเขาเห็นเราเต้นเก่งเลยชวนไปเป็น Amazon Baby ของเขา หรือบางทีก็เรียกว่า Amazon Daughter/Son เคยเห็นคนออสเตรเลีย ญี่ปุ่น แล้วก็ไต้หวันที่อยู่บ้านนี้เหมือนกันนะ แต่เราน่ะเป็นคนไทยคนเดียวเลย 
     House เหล่านี้เกิดจากการที่สังคมสมัยก่อนยังไม่ยอมรับ LGBT หรือแม้แต่พ่อแม่ด้วยซ้ำที่รับลูกตัวเองที่เป็นเกย์ไม่ได้จนไล่ออกจากบ้าน ก็จะมีแต่ชาว LGBT ด้วยกันที่อ้าแขนรับพวกเขา มันกลายเป็นคำถามว่าที่จริงแล้ว ‘ครอบครัว’ คืออะไรกันแน่? ปกติคนเราจะมองว่าพ่อแม่กับคือคนที่อุ้มท้องลูกมา 9 เดือน แต่ทำไมเขากลับรับไม่ได้ที่ลูกเป็นเกย์ ในขณะที่ในเฮาส์ต่างๆ เหล่านี้คือพ่อแม่ที่รักและยอมรับในสิ่งที่เราเป็นจริงๆ สำหรับซันแล้วชอบครอบครัวแบบหลังมากกว่า อย่างตอนนี้พอเราเริ่มสอนเต้นโว้กที่ไทยก็เริ่มมีลูกศิษย์มาเรียกว่าหม่าม๊าแล้ว (หัวเราะ)

เพราะอะไรถึงสอนให้คนไทยเต้นโว้ก 
     ที่ไทยยังไม่เคยมีวัฒนธรรมโว้กมาก่อนเลย เราอยากลองดูว่าจะมีคนไทยสนใจการเต้นแนวนี้มั้ย และเรากำลังมองหาเด็กที่มีแววด้วย ไม่แน่ในอนาคต ซันอาจตั้งบ้านในไทยก็ได้นะ เพราะเราเป็นคนแรกที่ได้ไปหาเรียนโว้กกับคนที่เป็นโว้กเกอร์จริงๆ ถึงที่ จนตอนนี้เราก็เหมือนเป็นคุณแม่ของคนเต้นโว้กในไทยแล้ว (หัวเราะ) 
     สุดท้ายคืออยากให้คนไทยได้รู้ว่า ‘โว้ก’ มีอะไรมากกว่าแค่การเต้น อยากให้มาเรียนรู้ด้วยกันว่าจริงๆ แล้วมีเรื่องราวการต่อสู้ยาวนานของชาว LGBT หล่อหลอมอยู่ในวัฒนธรรมต่างๆ ของโว้กเยอะมาก ซึ่งมันกลายเป็นความสนุก ความสุข เป็นพื้นที่เปิดกว้างยิ่งกว่าที่ไหน แอบกระซิบว่าเดือนธันวาคมนี้เราอาจจัดงานบอลครั้งแรกในไทยด้วยนะ

ใครที่อยากเข้ามาสัมผัสความโว้กที่แท้จริงจาก Amazon Sun ไปเจอได้ที่เวิร์กช็อป Vogue Femme ล่าสุดของเขา ณ Groove Studio ในวันศุกร์ที่ 11 พ.ค.นี้ แล้วคุณจะได้รู้ว่าโว้กไม่ใช่แค่แฟชั่นหรือการเต้นสุดเริ่ดเท่านั้น!

ถ่ายภาพ: Sootket Jiwpanit