Vogue Thailand

FASHION

ตีแผ่กระแส “Queerbaiting” เมื่อวงการบันเทิงหากินกับความหลากหลายทางเพศจนเกินงาม

ถึงเวลาทบทวนตัวเองอีกครั้งว่า คุณคือหนึ่งในคนที่กำลังสนับสนุนมายาคติผิดๆ เกี่ยวกับความลื่นไหลทางเพศอยู่หรือไม่

โดย Peeranat Chansakoolnee
10 สิงหาคม 2564

     ย้อนกลับไปในปี 2019 หนึ่งในประเด็นสุดอื้อฉาวของอุตสาหกรรมแฟชั่นโลกนั่นก็คือ กรณีที่แบรนด์แฟชั่น Calvin Klein ต้องออกมาขอโทษขอโพยกลุ่มคนรักร่วมเพศกันเสียยกใหญ่ หลังจากที่โฆษณาขนาดสั้นความยาว 30 วินาที ที่ได้นางแบบดาวรุ่งแห่งยุคอย่าง Bella Hadid มาร่วมแสดงฉากจูบสุดดูดดื่มกับตัวละครประดิษฐ์ดิจิทัล Lil Miquela โดยหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ว่า ‘ฉากจูบของตัวละครหญิงรักร่วมเพศ’ จะสามารถช่วยขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้าได้ พร้อมหวังว่าจะสามารถสร้างกระแสนิยมในหมู่คนรักร่วมเพศทั่วโลกให้หันมาสนใจ และกระจายผลงานชิ้นโบว์แดงของแบรนด์ชิ้นนี้ออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้...

 

 

     ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นไปดั่งที่คาดหวังไว้ ปราสาททรายที่ คาลวิน ไคลน์ เพิ่งก่อได้ไม่นานก็ต้องพังทลายลงด้วยแรงซัดของคลื่นความไม่พอใจของกลุ่มคนรักร่วมเพศ ที่ต่างมองว่านี่คือการหากินกับอัตลักษณ์ความลื่นไหลทางเพศของพวกเขาอย่างเกินงาม โดยไม่ได้ตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของคนกลุ่มนี้อย่างแท้จริง การจ้างนางแบบสาวมายืนจูบกับปัญญาประดิษฐ์ดิจิทัลแบบนั้น คือการเกาะกระแสความหลากหลายทางเพศ และสร้างภาพลวงตาให้กับสังคมในประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรักร่วมเพศ เพราะคุณรู้ดีอยู่เต็มอกว่าความสัมพันธ์ของคนกับปัญญาประดิษฐ์ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงได้ นั่นจึงไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นการทำแคมเปญเพื่อสนับสนุนกลุ่มเพศทางเลือก และอาจเรียกได้ว่าเป็นการหลอกลวงสังคมโดยใช้กลยุทธ์ “Queerbaiting” ซึ่งอาจเป็นจุดชี้นำไปสู่การสร้างความเกลียดกลัวให้กับเหล่า Homophobia ในสังคมให้เกิดความไม่พอใจได้ในที่สุด...

Article

     Queerbaiting คือหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดของสื่อโลกยุคดิจิทัล ที่ไม่ต้องเดาก็พอจะมองออกว่าเล่นล้อมาจากคำศัพท์ว่า Clickbait และแน่นอนว่ามีความหมายด้านลบไม่แพ้กัน สำหรับ Queerbaiting เองนั้น มีความหมายที่พอจะเดาได้ตามคำศัพท์ว่า การที่สื่อนำเรื่องราวของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศมาใช้เป็นจุดขาย เพื่อสร้างผลประโยชน์ทางธุรกิจด้านการตลาด เช่นยอดไลก์ หรือกระแสความนิยม โดยขาดการตระหนักรู้ถึงปัญหาที่แท้จริง และการมีอยู่ของกลุ่มคนเหล่านั้น ทั้งนี้ยังหมายรวมถึงการสร้างคอนเทนต์เพื่อดึงดูดกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ แต่ไม่ได้สร้างสรรค์เพื่อเป็นตัวแทนของกลุ่มคน LGBTQ+ อย่างแท้จริง ปล่อยให้เกิดความคลุมเครือไม่ชัดเจน เนื่องจากยังต้องการรักษาฐานแฟนคลับของกลุ่มเกลียดกลัวเพศเดียวกันเอาไว้ เพื่อไม่ให้ตนเองนั้นเสียประโยชน์จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไป

Article

ภาพเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์บนเวทีประกาศรางวัล MTV Video Music Awards ประจำปี 2003 ศิลปินตัวแม่ มาดอนน่า ประกบปากกับ บริตนีย์ สเปียร์ส จนกลายเป็นกระแสอื้อฉาว และถูกยกให้เป็นซีนเรียกเรียกเรตติ้งตลอดกาล

 

     แท้จริงแล้วกระแสของ “Queerbaiting” ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรขนาดนั้น การหากินกับกระแสของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อยๆ บนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการฮอลลีวู้ดที่เป็นดั่งศูนย์กลางทรงอิทธิพลของวงการบันเทิงโลก ไล่เรียงมาตั้งแต่การโหมนำเสนอข่าวแฟชั่นการแต่งตัวแบบ Androgynous ของศิลปินสุดฮอตอย่าง Harry Styles หรือ Lil Nas X อย่างไร้แก่นสาร หรือเพียงเพราะมัน “ดูแปลก” จนสามารถที่จะเรียกยอดไลก์และนำไปต่อยอดด้านธุรกิจได้ ซึ่งสิ่งนี้เองช่างเป็นการกระทำที่เหยียดหยามกลุ่มคนหลากหลายทางเพศอย่างถึงที่สุด เพราะคุณกำลังมองว่าพวกเขา หรือการแสดงออกของพวกเขา ไม่ต่างอะไรจากตัวละครประหลาดในการแสดง Freak Show ที่หาดูได้ตามสวนสนุก นอกจากนี้ยังมีกรณีของการหากินกับข่าวการออกมา Come Out ของเหล่าเซเลบริตี้ชื่อดัง ที่ถูกหลายสื่อจับจ้องรายงานติดตามราวกับเป็นสารคดีสัตว์โลกก็ไม่ปาน ซึ่งนั่นเองก็คืออีกหนึ่งประเด็นที่สื่อต้องกลับมาทบทวนการรายงานของตัวเองอีกครั้ง และต้องตระหนักถึง “สาร” ที่บุคคลเหล่านั้นต้องการจะสื่อให้สังคมได้ฟัง มิใช่การจับเขาเหล่านั้นมาวางไว้ในกรงให้คนมาเดินดูเล่นๆ ไม่ต่างจากสวนสัตว์

Article

     นอกจากนี้กระแสของ Queerbaiting ยังเลยเถิดไปไกลถึงการปั้นสร้าง “คู่จิ้น” ปลอมๆ ขึ้นมาเพื่อเรียกกระแสให้กับภาพยนตร์ หรือผลงานบันเทิงอื่นๆ ให้กลายเป็นที่สนใจของเหล่าคนดู เฉกเช่นในกรณีของซีรีส์เรื่อง Sherlock เมื่อปี 2010 ที่นักแสดง และทีมงานผู้กำกับต่างออกมาปฏิเสธเสียงแข็งว่า ความสัมพันธ์ของตัวละครหลักชาย 2 คนนั้น เป็นแค่ความรู้สึกแบบ Bromance เท่านั้น แต่เหล่านักวิจารณ์ และผู้ชมจำนวนมากกลับพยายามลากโยงให้ความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งคู่นั้นเป็นไปในทางของการฉายภาพเกย์เสียมากกว่า หรือแม้แต่ในกรณีของ Anthony Mackie ที่ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างหัวเสียเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน 2021 ที่ผ่านมาว่า "เขารู้สึกไม่โอเคกับการถูกแฟนคลับจับจิ้นกับนักแสดงร่วมอย่าง Sebastian Stan ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นการจิ้นกันในมิติของตัวละครจากซีรีส์เรื่อง The Falcon and The Winter Soldier ก็ตาม" กระนั้นก็ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่าค่านิยมการใช้กลยุทธ์ Queerbaiting ดูจะเบ่งบานในโลกของการ์ตูนแอนิเมชั่นอีกด้วย ดังเช่นกรณีของภาพยนตร์แอนิเมชั่นค่ายพิกซาร์เรื่อง Luca ที่สื่อหลายหัวต่างพากันตั้งคำถามเพื่อโยงเข้าเนื้อหาให้เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางเพศของตัวละครให้ได้ เพื่อสร้างเป็นจุดขายในการโปรโมตให้คนหันมาสนใจ ซึ่งทางพิกซาร์เองก็ดูจะไหลตามน้ำในตอนแรกด้วยการออกมาให้สัมภาษณ์สุดคลุมเครือ เพื่อคงไว้ซึ่งความไม่ชัดเจน และรักษาฐานแฟนคลับผู้ชมทั้งฝั่งของกลุ่ม LGBTQ+ ที่ต้องการเข้าไปหาคำตอบในโรงภาพยนตร์ และกลุ่มคน Homophobia ที่การันตีว่าจะไม่ทิ้งภาพยนตร์เรื่องนี้ไปไหน ตราบใดที่ยังไม่มีใครออกมาการันตีว่านี่คือแอนิเมชั่นรักร่วมเพศอย่างจริงจัง

Article

     ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ไม่ใช่แค่บทเรียนที่สื่อทั้งหลายต้องพิจารณาอีกครั้ง หากยังสะท้อนถึงความโหดร้ายอย่างหนึ่งของโลกทุนนิยม ด้วยกลยุทธ์การตลาดอันน่าอดสู จนบางครั้งก็อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้เกิดมายาคติต่อกลุ่มเพศทางเลือกในสังคมอย่างผิดๆ โดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตามสิ่งที่สื่อบันเทิงควรที่จะต้องทำเดี๋ยวนี้คือ การหันมาทบทวนตัวเองอีกครั้งว่าเรากำลังนำเสนอ หรือชี้นำภาพของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศไปในทิศทางใด เราทุกคนได้ตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของกลุ่มคนเหล่านี้จริงๆ หรือไม่ ในฐานะของมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ใช่แค่สินค้าหน้าร้านโชว์ห่วยที่คอยดึงดูดลูกค้ามาจ่ายเงินให้ เราทุกคนสร้างความชัดเจนให้กับการนำเสนอเรื่องราวของบุคคลที่มีความลื่นไหลทางเพศอย่างครบถ้วนแล้วหรือไม่ เราทุกคนยังต้องถามกับตัวเองต่อไปอีกว่า คุณกำลังสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อพัฒนาไปข้างหน้าของพวกเขาเหล่านั้นจริงๆ ใช่ไหม และสุดท้ายก็คือคุณจะจัดการกับกลยุทธ์ Queerbaiting อย่างไร นั่นคือสิ่งที่สื่อบันเทิงทั่วโลกอาจต้องทำเดี๋ยวนี้!

: Wikipedia-Queerbaiting, Variety, The Independent UK, Teen Vogue, pinknews.co.uk และ theconversation.com