Vogue Thailand

FASHION

Hermès ขึ้นแท่นแบรนด์ลักชัวรีมูลค่าสูงสุดแซงหน้าเครือ LVMH ทั้งไตรมาสแรกและไตรมาส 2 ของปี 2025!

ความสำเร็จนี้จึงถือเป็นทั้งผลลัพธ์ของการดำเนินกลยุทธ์ระยะยาวที่แม่นยำ

โดย Ramita Naungtongnim
14 กรกฎาคม 2568

     เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางปี 2025 นักวิเคราะห์จากหลากหลายสถาบันได้จัดอันดับแบรนด์หรูตระกูล Hermès ว่าเป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มสินค้าลักชัวรีที่น่าจับตามองที่สุดในโลก แม้ในขณะที่กลุ่มลักชัวรีอื่นๆ อย่าง Burberry, Tapestry หรือแม้แต่ LVMH เอง ต่างเผชิญกับแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะในตลาดสำคัญอย่างจีนและสหรัฐอเมริกา อ้างอิงจากการรายงานของ Barron’s และ HSBC ชี้ว่า Hermès ยังสามารถเติบโตในไตรมาสที่สองได้ราว 9% ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดในกลุ่มสินค้าหรู และเป็นปัจจัยสนับสนุนให้มูลค่าตลาดล่าสุดของ Hermès อยู่ที่ประมาณ 302.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่า LVMH ที่ราว 298 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ตัวเลขจะผันผวนเล็กน้อยตามภาวะทางการตลาดแต่ก็แสดงแนวโน้มที่มั่นคงของ Hermès อย่างชัดเจน

     ย้อนกลับไปในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 Hermès ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการแบรนด์ลักชัวรีด้วยการก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทลักชัวรีที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในยุโรป แซงหน้า LVMH ซึ่งเคยเป็นเจ้าตลาดมาอย่างยาวนาน โดยมูลค่าตลาดของ Hermès ณ เดือนเมษายน 2025 พุ่งขึ้นถึงราว 248–249 พันล้านยูโร (ประมาณ 280–281 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในขณะที่มูลค่าตลาดของ LVMH ลดลงเหลือประมาณ 244–246 พันล้านยูโร จากแรงกดดันด้านยอดขายและความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่อ่อนแรงลงหลังจากผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาต่ำกว่าคาด อ้างอิงตามการรายงานของ Bloomberg และ Reuters ระบุว่า LVMH มียอดขายลดลงราว 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสวนทางกับความคาดหวังของตลาดที่ประเมินว่าจะเติบโตราว 2% ส่งผลให้ราคาหุ้นของ LVMH ร่วงลงประมาณ 7–8% ภายในวันเดียว ขณะที่ Hermès กลับสามารถรักษาเสถียรภาพของรายได้ไว้ได้ โดยเติบโตขึ้นประมาณ 7–7.2% ในไตรมาสเดียวกัน และราคาหุ้นยังคงทรงตัวหรือขยับขึ้นเล็กน้อย

     ความสำเร็จของ Hermès ไม่ได้เป็นเพียงผลมาจากยอดขายเท่านั้น แต่ยังเกิดจากกลยุทธ์ระยะยาวที่มุ่งเน้นความพิเศษและความหายากของสินค้า แบรนด์ยังคงรักษาการเติบโตของการผลิตไว้ที่ประมาณปีละ 6–7% เพื่อควบคุมอุปทานและสร้างความรู้สึกพิเศษแก่ผู้บริโภค กลยุทธ์นี้แตกต่างจากแบรนด์อื่นในกลุ่มเดียวกันที่มักขยายสายผลิตภัณฑ์หรือออกสินค้ารุ่นพิเศษจำนวนมาก การที่สินค้าหลักอย่างกระเป๋ารุ่น Birkin และ Kelly มีราคาสูงถึงหลายหมื่นยูโรต่อใบ และยังคงมีความต้องการสูงจากกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งทั่วโลก ทำให้แบรนด์สามารถต้านทานแรงกดดันทางเศรษฐกิจและภาษีนำเข้าในบางประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     ทั้งนี้ Hermès จึงไม่ได้เพียงแค่แซงหน้า LVMH ในแง่มูลค่าตลาด แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมสินค้าลักชัวรีที่เริ่มให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ความพิเศษ และการควบคุมภาพลักษณ์มากกว่าการเติบโตในเชิงปริมาณ ภายใต้การบริหารของตระกูล Hermès ที่ยังคงถือหุ้นและควบคุมธุรกิจมากกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัท ความสำเร็จนี้จึงเป็นทั้งผลลัพธ์ของการดำเนินกลยุทธ์ระยะยาวที่แม่นยำ และความไว้วางใจจากนักลงทุนที่เชื่อในคุณค่าของความหรูหราแบบเงียบหรือ ‘Quiet luxury’ ซึ่ง Hermès เป็นผู้นำอย่างแท้จริงในระดับโลกในขณะนี้

 

ตามไปอ่านเรื่องราวของ Hermès เพิ่มเติมได้ที่นี่

ภาพ : iStock