CELEBRITY

'พีช-พชร' 'เต้ย-จรินทร์พร' การรียูเนียนสองขวัญใจที่หลายคนรอคอย

'พีช-พชร' 'เต้ย-จรินทร์พร' การรียูเนียนสองขวัญใจที่หลายคนรอคอย

ทันทีที่ พีช-พชร จิราธิวัฒน์โพสต์รูปโพลารอยด์ของเขากับ เต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ จากฝีมือชัตเตอร์ช่างภาพโว้ก ผู้ติดตามหลักล้านในอินสตาแกรมของเขาก็ขานรับทันทีว่า “Countdown รียูเนียน” รำลึกถึงผลงานหนังทริลเลอร์เมื่อ 5 ปีก่อนที่ลอกเปลือกดาราดาวรุ่งทั้งสองไปเป็นนักแสดงคุณภาพรุ่นใหม่ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นตัวละคร พีชก้มหน้าคิดนิดๆ แล้วบอกยิ้มๆ ว่าเขาคือ “แบรด พีช” เมื่อพูดถึง Brad Pitt นักแสดงในดวงใจ เต้ยหมกมุ่นครุ่นคิดนานก่อนบอกอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “เต้ยเป็นเอ็มม่า สเต้ย” อะไรก็ได้ที่สบายใจและออกเสียงคล้าย Emma Stone ที่สุด

      สองคนส่งคำค่อนขอดทักทายกันเสียงขรมตั้งแต่แรกเจอ บอกความนัยว่าสนิทถึงขั้นเอาปมเด่นมาล้อเลียนกันได้โดยไม่โกรธ “เดี๋ยวนี้เขาเวตมองส์” เต้ยชมพีชเสียงสูงแสดงความจริงใจ แม้ว่าตัวเองจะแต่งจัดจ้านใช่ย่อยในสารพัดไอเท็มของ Gucci ยุคเนิร์ดกระจายของ Alessandro Michele “เต้ยจะไม่แต่งแนวหวานเพราะรู้ตัวว่าถ้าใส่จะหวานไปเลย เพราะหน้ามาทางนี้อยู่แล้ว ต้องขืนไว้บ้าง เพราะตัวตนจริงๆ เราไม่ได้หวานขนาดนั้น แรกๆ แอบงงว่าทำไมทุกคนต้องคิดว่าเราชอบสีชมพู ชอบคิตตี้แน่เลยน้องเต้ย แต่สุดท้ายถ้าคนจะชอบเราก็ให้ชอบที่เราเป็นเรา นี่คือสิ่งที่เต้ยคิดตั้งแต่เข้าวงการแล้ว ไม่อยากเป็นคนอื่นเพื่อให้ใครมาชอบ จนบางทีเป็นตัวเองมากไป แต่งตัวออกจากบ้านนี่ไม่ได้แคร์เลย สงสารคนที่เจอเราบ้างเหมือนกัน คนนี้ใช่ดาราเหรอหรือคนหน้าเหมือนเฉยๆ” 

    ในโลกการแสดงจะเรียกเขาว่าแบรด พีชอย่างที่เจ้าตัวตั้งสมญานามให้ตัวเองคงได้ แต่ถ้าในโลกแฟชั่น โปรดเรียกเขาว่า พีชเวตมองส์ จากความเปรี้ยวหลุดกรอบหล่อหมดจดของนักแสดงชายในวงการบันเทิงไทยคนนี้ “แฟชั่นคือการนิยามตัวตนของคน เป็นมากกว่าเรื่องแบรนด์หรือราคาไปแล้ว อย่างรองเท้าที่ใส่อยู่นี่ (ยกขาขึ้นมาโชว์บู๊ตหุ้มข้อสีดำ) จริงๆ มันถูกมากเลยนะ แฟชั่นเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ดีไซเนอร์ก็อินสไปร์มาจากหนัง เพลง หรืออะไรที่ใกล้ๆ กับนักแสดงเหมือนกัน 

    “ผมเป็นคนชอบเสื้อผ้ายุค 1970-1980 มากๆ เป็นสไตล์ของนักดนตรีที่เราชอบ อย่าง The Clash หรือ Depeche Mode แต่คนที่ไม่เข้าใจว่าผมแต่งตัวอะไรก็เยอะครับ แม้กระทั่งพ่อผมเองก็ตาม เคยนัดไปกินข้าวกันในห้าง ผมใส่กางเกงกำมะหยี่ขายาวมากๆ กับเสื้อตัวเล็กมากๆ พ่อเห็นแล้วสะดุ้ง (หัวเราะ) แต่เราไม่ได้แคร์ว่าคนจะมองเราอย่างไร ไม่ใช่เพราะมั่นใจมากแต่เพราะเราไม่ได้ทำเพื่อให้คนอื่นมาตัดสิน เรามีความนอยด์เหมือนกัน แต่จะนอยด์กับตัวเองว่าสิ่งที่เราทำไม่เพอร์เฟกต์เหมือนที่คิดไว้ แต่ไม่เห็นประโยชน์ที่จะเอาความคิดคนอื่นมาแบก นอกจากเป็นคำพูดที่ทำให้เราต้องกลับไปคิดในมุมที่เราไม่เคยนึกถึงมาก่อนได้ เพราะผมเป็นคนต้องการเหตุผลในทุกๆ อย่าง จะไปตามคนอื่นมากทำไม เราไม่ใช่หุ่นปั้น” 

    การแต่งตัวที่จัดขึ้นมาเป็นแนว Niche เฉพาะกลุ่ม มาพร้อมความเปลี่ยนแปลงในอาชีพนักแสดงที่พีชก้าวไปลองศาสตร์ใหม่ในเส้นทางกระแสหลัก “ตอนนี้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงกับช่อง 3” คนเคยอยู่วงการหนังบอก “ต้องเปลี่ยนวิธีการแสดงของตัวเองเยอะมาก ถ้าเป็นหนังคนดูมีแรงจูงใจอย่างแรกเลยคือต้องตั้งใจดูเพราะจ่ายเงินไปแล้ว สองคือด้วยจอที่ใหญ่ประมาณรถเมล์ ฉะนั้นจึงเห็นทุกอย่างชัดมาก นักแสดงต้องเล่นน้อยเพื่อให้ดูจริงที่สุด แต่พอเป็นละคร บางคนดูในจอทีวี ในมือถือ นั่งกินข้าวไปด้วยดูไปด้วย หรือลุกไปเข้าห้องน้ำเปิดทีวีทิ้งไว้ฟังเสียง เราต้องเล่นให้ทุกคนทั้งหมดนี้เข้าใจให้ได้ ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมคนเล่นละครถึงเล่นใหญ่” นักแสดงละครมือใหม่กล่าว “แต่เราต้องห้ามคิดว่าเราเล่นใหญ่ผิดธรรมชาติ ตอนเด็กๆ เวลาดูละครเราจะคิดว่าทำไมต้องเวอร์ แต่ตอนนี้เราต้องเชื่อจริงๆ ว่านั่นคือธรรมชาติในโลกของละคร ทุกอย่างในโลกความเป็นจริงต้องลืมให้หมด ถ้าเราทำให้ตัวเองเชื่อไม่ได้ เราจะทำให้คนดูเชื่อได้อย่างไร” หันไปมองนักแสดงละครตัวแม่ที่เล่นละครมาแล้ว 15 เรื่องเป็นเชิงคารวะ “แต่ก่อนเลิกกองหนัง 4 ทุ่มยังมีแรงอยากทำอะไรต่อ แต่เลิกกองละครถ้ายังมีแรงนั่งดูทีวีก็เก่งแล้ว รู้สึกว่านักแสดงละครเก่งมาก” 

    เต้ยที่เล่นละครมานักต่อนักแต่ยังบอกว่าความรู้สึกเหมือนเพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ ย้อนกลับไปไม่นานมานี้ เมื่อได้เจอบทที่ต้องปล่อยความเหวี่ยงอย่างที่ภาษาละครเรียกว่าเป็นนางร้ายครั้งแรก “ชอบนะ แต่ไม่ขอเล่นบทร้ายอีกแล้ว เต้ยนับถือคนที่เล่นบทร้ายมาก ใช้พลังเยอะ นอยด์ นอนไม่หลับ เหมือนตัวละครนี้เป็นคนแปลกหน้าในชีวิตเราสุดๆ เลย แต่กลับกันเขาก็เป็นเพื่อนใหม่ในชีวิตเรา”

    ปีนี้สาวหน้าละอ่อนคนนี้จะอายุ 27 แล้วและเป็นนักแสดงมาถึง 10 ปีเต็ม “1 ทศวรรษ ฟังดูยิ่งใหญ่มากเลย เต้ยเคยคิดว่าเห็นการแสดงของตัวเองมาเยอะมาก แต่พอมาเล่นบทร้ายทำให้รู้ว่าสิ่งที่สะสมมายังต้องสะสมอีก ไม่ได้หมายความว่าเราไปได้อีกไกล แต่เราต้องพัฒนาไปอีกเยอะมาก จากที่เรื่องแรกๆ ไม่ได้เข้าใจเลยว่าต้องแสดงอย่างไร เล่นซีนร้องไห้ก็ต้องพยายามอาเจียนหรือหาวไปเรื่อยๆ เพื่อให้น้ำตาไหล หรือนั่งบิลด์อารมณ์ตั้งนานไม่มีน้ำตา แต่พอผู้กำกับสั่งคัตปุ๊บน้ำตามาเลย เพราะกดดันที่ทำให้ทุกคนรอ มีนักแสดงที่เดินเข้าฉากปุ๊บกดปุ่มทำได้เลย แบบนั้นคือคนมีพรสวรรค์ แต่เต้ยไม่มีก็ต้องค่อยๆ เรียนรู้หาวิธีการไปเรื่อยๆ สุดท้ายเราได้ค้นพบว่าการแสดงคือการรู้จักชีวิตเพื่อนใหม่ตั้งแต่เขาเกิดจนโต เรามองหาเหตุผลว่าอะไรที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ ทั้งที่ตัวเราเองยังไม่มานั่งคิดวิเคราะห์การกระทำของตัวเองละเอียดขนาดนี้เลย แต่สนุกนะ เหมือนเราได้ปั้นคนขึ้นมาใหม่” 

    เธอชวนคุยว่าเคยคิดไหมว่าทำไมอาชีพของเธอและพีชถึงได้ค่าตอบแทนสูง “มีครูบาอาจารย์เทศน์ให้ฟังว่าถ้าเรามีอาชีพขายก๋วยเตี๋ยว เรามีอุปกรณ์ มีหม้อ มีที่ลวกเส้น แต่อาชีพนักแสดงไม่มีเครื่องมือหรือตัวช่วยอื่นๆ นอกจากใช้ร่างกายและจิตวิญญาณในการทำงาน เวลาเหนื่อยมันเลยเหนื่อยจากข้างใน เราได้เรียนรู้ที่จะทำถูกหรือทำพลาดบางอย่างโดยไม่ต้องเอาชีวิตของตัวเองไปทำเอง แต่ได้ประสบการณ์ผ่านตัวละครแทน” พีชตอบรับด้วยเสียงพึมพำว่าเป็นอาชีพที่ประหลาดมากจริงๆ “มีน้อยอาชีพที่สามารถควบคุมความรู้สึกของคนอื่นได้ นักแสดงทำให้คนที่เราไม่เคยเจอหน้าเลยในชีวิตนี้ร้องไห้ โกรธ เกลียด หรือหัวเราะได้” แบรด พีชเสริมทัพเอ็มม่า สเต้ย 

    “แล้วก็เป็นอาชีพที่บังคับให้ทำไม่ได้ด้วย ถ้าเราต้องไปถ่ายหนังหรือละครอะไรก็ไม่รู้ตั้งปีครึ่ง เราคงไม่อยากตื่นขึ้นมาแล้วคิดว่าเช้านี้ต้องไปทำงานนี้ ต้องนั่งรถ 3 ชั่วโมงไปออกกองต่างจังหวัดเพื่อไปทำอะไรก็ไม่รู้ คนอื่นอาจจะคิดว่า แหม เราทำงานในบริษัทก็ไม่ได้ชอบเรายังทำได้ แต่มันไม่เหมือนกัน (เน้นเสียง) อาชีพนี้ใช้ความรู้สึก ถ้าทำโดยไม่มีความรู้สึกว่าอยากทำก็มีคนอีกเป็นร้อยเป็นพันคนที่เขาแสดงดีกว่ามาแทนได้ มันเป็นงานที่คุณต้องใช้ชีวิตเป็นใครก็ไม่รู้เป็นเดือนเป็นปี เราต้องมีสภาพจิตใจที่พร้อมพอจะให้ ‘เขา’ มายืมร่างกายเราได้ แล้วใครจะยอมสละชีวิตตัวเองให้ตัวละครที่ตัวเองไม่รัก การต้องเอาความรู้สึกตัวเองมาทำลายไปเรื่อยๆ เป็นปีๆ ถ้าเราไม่ชอบคงไม่ทำหรอก แต่กลับกัน ถ้าได้ทำสิ่งที่เราอิน ต่อให้ทุ่มเทเหนื่อยแค่ไหน แต่เราจะได้พลังกลับคืนมาจากการวิ่งหาความสมบูรณ์แบบ อายุคนเรามันสั้นนะ แป๊บๆ ก็แก่แล้ว ทำงานที่ต้องใช้อารมณ์มากๆ ก็เครียด เดี๋ยวเป็นมะเร็งตายพอดี นึกออกไหม เราเลยต้องหาสิ่งที่ถูกต้องที่สุดที่อยากจะทำ ให้คุ้มค่ากับการที่เรายอมเสียช่วงชีวิตของเราไป” 

    เต้ยพยักหน้าเห็นด้วยแรงๆ “เราไม่เคยนึกไปถึงการได้รางวัลหรือรายได้หนังเลย ณ ขณะทำงานที่เราสู้กับตัวเองว่าจะไปได้ไกลแค่ไหนกับตัวละครนี้ ถ้ามันไปถึงจุดที่เรารู้สึกว่าใช่ เราทำซีนนี้ได้ดีก็พอใจแล้ว เต้ยวัดแค่นี้เลย” แล้วถ้าทำไม่ได้ล่ะ พีชเป็นฝ่ายตอบคำถามนี้ว่า “เมื่อเราไม่คาดหวังอะไรเลย เราจะมีพื้นที่อีกเยอะมากให้ตื่นเต้น ผลลัพธ์ก็เป็นแค่ผลลัพธ์ ถ้าเราไม่เอาใจไปใส่มันชีวิตจะดีขึ้นเยอะ ตอนเล่นหนังแรกๆ เคยเครียดว่ารายได้หนังทำไมไม่เหมือนที่เราคิดไว้ เป็นเพราะสังคมหล่อหลอมด้วย ทุกคนพูดว่าหนังต้องได้ร้อยล้าน พอได้ไม่ถึงก็กดดัน” หนังร้อยล้านกลายเป็นประกาศนียบัตรว่าหนังดี พีชพูดสวนขึ้นทันทีว่า “นี่คือสิ่งที่ทุเรศที่สุดในวงการบันเทิงประเทศไทย ทุกคนวัดจากเงิน เรื่องเงินเป็นหน้าที่ของนักธุรกิจ หน้าที่ของนักแสดงจบไปตั้งแต่ถ่ายหนังเสร็จแล้ว ฉะนั้นอย่าเอาคำพูดนี้มากรอกใส่หูพวกเรา ตลกน่ะ” เขาพูดคำว่าตลกโดยไม่มีเสียงหัวเราะตามหลัง “เราว่าอุตสาหกรรมนี้อยู่ได้ด้วยการเป็นเพื่อนกัน ไม่มีคู่แข่งอยู่ในโลกนี้ ร่วมมือกันแล้วเราจะแข็งแรงขึ้น เราจะมีอาชีพที่ดี แล้วเราจะสร้างงานที่ดีกว่าเดิมได้” 

    แล้วอยากเห็นอะไรที่เปลี่ยนไปในวงการบันเทิงไทยบ้าง สิ้นคำถามซีเรียส พชรกลับระเบิดเสียงหัวเราะ “เป็นคำถามที่ไม่อยากตอบที่สุดเลย เพราะถ้าตอบตายแน่ กระทบคนเยอะ (ทิ้งสายตาไปนอกหน้าต่าง) เงินไม่พอโปรดักชั่นก็เปลี่ยน เงินไม่พอทุกคนไม่มีสมาธิทำงาน คนโหลดของปลอมก็ไม่รู้จะทำงานให้ดีไปทำไม ทำมาแล้วคนไม่ซื้อ ทำมาคนไม่ดูจะทำทำไม…เรายอมแพ้กันง่ายเกินไป เราตามใจสิ่งที่คุมไม่ได้ง่ายเกินไป เราอ่อนแอเกินไป หลายปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมบันเทิงเราล้มเร็วมาก หนังสือปิดตัวไปเท่าไร ช่องทีวีเจ๊งกระจุยกระจาย หลายบริษัทต้องเลย์ออฟพนักงาน เรากลัวเจ็บตัวแล้วสุดท้ายเราก็เจ็บตัวจริงๆ เหมือนคนทำเพลงออกมาแล้วไม่มีคนดาวน์โหลดก็ไม่อยากทำงานดีๆ อีกแล้วเพราะทำไปคนก็ไม่โหลด แต่ยิ่งทำงานไม่ดีคนก็ยิ่งไม่ซื้อ ทุกอย่างวนกลับมาเป็นวัฏจักรซึ่งแก้กลับไปยากมาก เรายอมแพ้มาตั้งแต่ในอดีตกาล แล้วก็วิ่งไล่ตามผลพวงความพ่ายแพ้มาเรื่อยๆ” 

    แสงนอกหน้าต่างราความสว่างลงพร้อมๆ กับคำพูดของพีชเหมือนผู้กำกับให้คิว “ในอุตสาหกรรมบันเทิงเราอยู่ด้วยความฝันกันทั้งหมด ฝันอยากเป็นนักดนตรีที่ดี ฝันอยากเป็นช่างภาพที่เก่ง ฝันอยากเป็นนักเขียนที่ดี เราเองก็ฝันอยากเป็นนักแสดงที่ดีและทำอาชีพนี้ไปเรื่อยๆ จนแก่เลย ซึ่งเราคิดว่าทำได้ถ้าวางแผนขั้นต่อไปของตัวเองให้ดี เช่น เรารับงานนี้แล้วจะได้พัฒนาตัวเองอย่างไร ต้องเอาตัวเองไปอยู่ที่ไหนเพื่อให้เราเก่งขึ้น ได้พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ” เป็นครั้งแรกที่เต้ยแย้งหน้าตาจริงจังว่า “การวางหมากอาชีพนักแสดงคืออะไร แล้ววางหมากได้ด้วยเหรอเรื่องนี้ ทุกครั้งที่มีคนถามว่าเต้ยจะวางแผนอะไรให้ตัวเองในวงการบันเทิง เต้ยตอบไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าโอกาสอะไรจะเข้ามาหา สิ่งที่ทำได้คืออยู่กับปัจจุบันและทำตรงนี้ให้ดี ตราบใดที่ยังมีโอกาสก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ เพราะการแสดงกลายเป็นสิ่งที่เรารักอย่างถอนตัวไม่ขึ้นไปแล้ว เต้ยรู้สึกว่าการอยู่ในวงการนี้ยิ่งอยากได้อะไรมันจะไม่ได้ เป็นแค่เต้ยหรือเปล่าไม่รู้ เพราะมันเป็นเรื่องของคนอื่นที่เข้ามาหาเรา สมมติว่าเราอยากใส่สไบเล่นละครพีเรียด จะไปบอกใครได้บ้างเหรอ กะเกณฑ์ไม่ได้หรอก” 

    พีชครุ่นคิดอยู่ในใจเช่นเคย เขามองนักแสดงรุ่นพี่ที่อยู่วงการมา 10 ปีแต่บอกว่าเธอยังต้องหาประสบการณ์มาเติมให้ตัวเองอีกมาก ส่วนตัวเขาที่วิ่งไล่ความฝันในดินแดน La La Land ภาคภาษาไทยมานานถึง 8 ปี แต่กลับรู้สึกว่าใช้ขุมพลังในตัวไปเพียงเศษเสี้ยว “ผมไม่ได้คาดหวัง แต่เราไปได้อีกเยอะ 8 ปีของผมมันแค่ 15-20 เปอร์เซ็นต์ของสิ่งที่เราจะก้าวไปสำรวจต่อได้” แล้วอะไรล่ะที่จะทำให้เราไปถึง 100 ได้หรือมากกว่าที่เป็นอยู่ เสียงคนข้างๆ ถามขึ้นอย่างอยากรู้ 

    “ออดิชั่น ออดิชั่น ออดิชั่น นั่นคือสิ่งที่เราทำได้ ออดิชั่นไปเรื่อยๆ แล้วเราจะไปไกลกว่าเดิม”    

เรื่อง: สุภักดิภา พูลทรัพย์ 
ช่างภาพ: สุดเขต จิ้วพาณิช
สไตล์: ตะวัน ก้อนแก้ว

WATCH

คีย์เวิร์ด: vogue thailand