CELEBRITY

ย้อนรอยคดีสุดสะเทือนขวัญแห่งวงการแฟชั่นกับการสังหารผู้ก่อตั้งแบรนด์ Versace

เรื่องราวคดีสุดโหดร้ายของการสังหาร Gianni Versace

เนื้อหาสำคัญ

  • ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ยุค '90s เป็นต้นมา Versace คือชื่อแบรนด์แฟชั่นระดับท็อปที่ผ่านหูผ่านตามาโดยตลอด สายแฟ (ชั่น) คงเคยเห็นลวดลายพิมพ์กรีกเป็นเอกลักษณ์แต่อาจจะย้อนความทรงจำไปไม่ถึงผู้ริเริ่มก่อตั้งอย่าง Gianni Versace
  • ที่มาที่ไปของ Andrew Cunanan ในวันที่โลกหวนรำลึกถึงสุดยอดดีไซเนอร์ชื่อของเขาคือสิ่งที่ผู้คนค้นหาไปพร้อมกันอยู่เสมอ
  • ความสมเหตุสมผลตลอด 21 ปีที่ผ่านมามีการวิเคราะห์เหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้ผ่านกรอบทฤษฎีการสันนิษฐานกว่า 4-5 แบบ
  • แง่มุมประวัติศาสตร์ที่คนอาจไม่เคยนึกถึงว่าที่ผ่านมาเราตั้งคำถามกับประวัติศาสตร์เรื่องราวของเหล่าคนดังไว้อย่างไรบ้าง?

_________________________________

 

     ปัง ปัง ! เสียงปืนดังขึ้น 2 นัดพร้อมรอยแผลและปลอกกระสุนหน้าคฤหาสน์สุดหรูหราย่านโอเชียน ไดรฟ์ในไมอามี่ ร่างชายวัยกลางคนนอนจมกองเลือดและลมหายใจของชายผู้กำลังจะก้าวเป็นตำนานสิ้นลง เหลือทิ้งไว้เพียงชื่อเสียงอันโด่งดังในโลกแฟชั่น และกลายเป็นเหตุการณ์ในหน้าประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยถูกลืมเลือนจากจิตใจ เรื่องราวถูกพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าตามหลักฐานและการสันนิษฐานที่แตกต่างกันไป ปี 2018 ซีรีส์ American Crime Stories ซีซั่น 2 นำเสนอเรื่องราวนี้ผ่านรูปแบบซีรีส์ 9 ตอน การันตีความยอดเยี่ยมด้วยรางวัลภาพยนตร์และนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมสำหรับโทรทัศน์จากเวทีลูกโลกทองคำ ยิ่งทำให้ชายผู้เป็นอีกหนึ่งอัจฉริยะยังคงถูกรำลึกถึงอยู่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด เขาคือ Gianni Versace ผู้ก่อตั้งและนักออกแบบแบรนด์ Versace

 

1.Be Gianni Versace

Gianni Versace ในลุคเสื้อซิกเนเจอร์ของแบรนด์ / ภาพ: theblast.com

     ดีไซเนอร์สุดโด่งดังชาวอิตาเลียนรังสรรค์ผลงานสุดพิเศษมาตลอดอาชีพดีไซเนอร์ของเขา เด็กหนุ่มในครอบครัวช่างตัดเย็บย่านคาลาเบรียในประเทศอิตาลีมีรากฐานไอเดียที่ถูกขัดเกลาด้วยนิยายปรัมปราและเรื่องราวประวัติศาสตร์ของกรีกอันเข้มข้น ผสมผสานกับงานศิลปะของ Andy Warhol กลายเป็นเอกลักษณ์การออกแบบของจานนี ประกอบกับฝีมือการทำงานตัดเย็บกับคุณแม่และการเรียนด้านการออกแบบแฟชั่นในปี 1972 ทำให้จานนีเริ่มฉายแววการเป็นสุดยอดแฟชั่นดีไซเนอร์ของโลก

Gianni Versace กับเหล่าสาว ๆ ซูเปอร์โมเดลยุค '90s / ภาพ: thefashionlaw.com

     ไม่กี่ปีต่อมาจานนีได้เริ่มงานด้านนี้อย่างจริงจังจนเริ่มมีคอลเล็กชั่นของตัวเอง และเปิดร้านแห่งแรกในปี 1978 จากผลงานความโดดเด่นทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังพร้อมกอบโกยรายได้มหาศาลจากทั่วทุกมุมโลก สร้างเวอร์ซาเช่เป็นแบรนด์ระดับท็อป และพัฒนาสู่การออกแบบชุดเดรสลักษณะเหมือนโซ่เหล็กแบบ ‘Oroton’ โลโก้ที่มาจากกลิ่นอายกรีกโบราณ และขยายรูปแบบกิจการไปทั้งจิวเวลรี่ ของตกแต่งบ้าน รวมถึงไลน์เสื้อผ้าโอต์ กูตูร์ นอกจากนี้เขาคือสุดยอดแห่งการค้นพบนางแบบระดับโลกทั้ง Naomi Campbell, Christy Turlington และ Linda Evangelista มากไปกว่านั้นจานนียังโดดเด่นเรื่องคอนเซปต์โชว์และเวทีจัดแสดงที่ทำให้ทุก ๆ คอลเล็กชั่นของเวอร์ซาเช่คือความพิเศษจนทุกคนต้องตั้งตารอ



WATCH




Édgar Ramírez ผู้สวมบทบาท Gianni Versace ในซีรีส์ American Crime Story : The Assansination of Gianni Versace / ภาพ: Collider

     น่าเสียดายที่ 20 ปีมานี้เรายังได้เห็นเจตนารมณ์ของจานนีผ่านมือน้องสาว Donnatella แต่ไอเดียและฝีมือการออกแบบของดีไซเนอร์หนุ่มชาวอิตาเลียนคนนี้คือสิ่งที่ไม่ได้เห็นอีกเลยตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา คดีดังในปีนั้นยังคงเป็นที่เล่าลือมาถึงทุกวันนี้ เพราะความลึกลับและไม่สมเหตุสมผลยากจะทำความเข้าใจ ทำให้เรื่องราวยังคงถูกผลิตซ้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน The Assansination of Gianni Versace ที่ทำให้เรื่องนี้ถูกตั้งคำถามและถกเถียงหาคำตอบกันอีกครั้ง

 

2.Who's the killer ?

Andrew Cunanan ฆาตกรต่อเนื่องติดอันดับที่ตำรวจสหรัฐฯ ต้องการตัวมากที่สุด / ภาพ: Famous Biographies

     Andrew Cunanan บุคคลที่จารึกหน้าประวัติศาสตร์ด้วยเลือดของจานนี แต่น้อยคนที่รู้ว่าเขาคือใครและสร้างเรื่องอื้อฉาวใดมาบ้าง เขาใช้เลือดของคนอื่นเขียนคำนำก่อนเข้าสู่ใจความสำคัญของเรื่องนี้ เบื้องหลังชีวิตหนุ่มฉลาดเจ้าของไอคิว 147 เต็มไปด้วยเรื่องสุดสาหัสทั้งพ่อหนีคดีไปต่างประเทศ เป็นเกย์ในยุคที่ปิดกั้น และโรคต่อต้านสังคม บ่มเพาะแอนดรูว์สู่การเป็นปีศาจแบบที่โลกมนุษย์ไม่ต้องการ

Jeff Trail เหยื่อรายแรกของ Andrew / ภาพ: Refinery29

     “โสเภณีชายรักชายระดับไฮคลาส” สิ่งชั่วร้ายเริ่มคืบคลานเข้าสู่ชีวิตแอนดรูว์อย่างเต็มตัวโดยเริ่มจากการใช้ยาเสพติด และใช้ชีวิตหรูหราเกินตัวเป็นปัจจัยให้ต้องหาคู่ขาที่ร่ำรวยเพื่อเป็นทุนการใช้ชีวิตแบบนั้น แต่ความยั่งยืนไม่มีอยู่ในวิธีการหาคู่แบบนี้ แอนดรูว์ถูกแฟนหนุ่มมหาเศรษฐีสลัดทิ้ง และเริ่มเดินหน้าเข้าสู่เส้นทางปีศาจนักล่าชีวิตพาให้เรานึกถึงตัวละครอย่างฮันนิบาล เดือนเมษายนปี 1997 ความชั่วร้ายปะทุขึ้นจากคำพูดของเพื่อนสนิทอย่าง Jeff Trail ว่า “ไม่อยากเห็นแอนดรูว์อีกในชีวิตนี้” ผลจากคำพูดบาดใจทำให้แอนดรูว์ส่งเจฟฟ์ไปรอที่โลกหน้าด้วยค้อนเหล็ก เจฟฟ์กลายเป็นเหยื่อรายแรก...

เหยื่อรายที่ 2 3 และ 4 ของ Andrew เรียงจากซ้ายไปขวา David Madson, Lee Miglin และ William Reese / ภาพ: CBS News และ Kidnappingmurderandmayhem.blogspot.com

     เพื่อนสนิทและอดีตคนรักเก่าอย่าง David Madson เป็นเหยื่อรายที่ 2 เหตุเกิด ณ เมืองมินนิอาโพลิสไม่กี่วันหลังจากเจฟฟ์เสียชีวิต เมื่อก่อเหตุเสร็จเขามุ่งหน้าไปชิคาโกทันที  เริ่มต้นชีวิตหรูหราอีกครั้งด้วยการเข้าหามหาเศรษฐีวัย 72 ปีอย่าง Lee Miglin และลงมือจัดการลีเป็นศพที่ 3 ในลิสต์ พร้อมขโมยทรัพย์สินทั้งเงินสดและรถเล็กซัสสุดหรูพร้อมเดินทางสู่เส้นทางด้านมืดต่อไป ต่อมา William Reese เป็นเหยื่อรายสุดท้ายก่อนถึงจานนี แอนดรูว์ลงมือครั้งนี้เพื่อชิงรถสำหรับเดินทางก่อเหตุคันใหม่

 

3.Theories of Versace Murder

เจ้าหน้าตำรวจเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุหน้าคฤหาสน์ Versace / ภาพ: Miami Herald

     และแล้ววันแห่งประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นก็มาถึง ย้อนกลับไปปี 1990 มีข่าวลือว่าทั้งแอนดรูว์และจานนีเคยพบกันที่ห้องวีไอพีของไนต์คลับแห่งหนึ่ง แต่ใครจะคิดว่า วันที่ 15 กรกฎาคม ปี 1997 แอนดรูว์จะทำสิ่งช็อคโลกด้วยการสังหารสุดยอดดีไซเนอร์คนนี้ด้วยการลั่นไกปืน .40 กระบอกเดียวกับการก่อเหตุคดีที่ 2 จำนวน 2 นัดหน้าที่พักของจานนีเอง เหตุการณ์วุ่นวายทำให้ Antonio D’Amico คู่รักของจานนีวิ่งออกมาด้วยความตกใจแต่ก็ช่วยไว้ไม่ทัน จานนีกับร่างไร้สติถูกส่งไปโรงพยาบาล แต่แน่นอนว่ามันสายไป...แอนดรูว์ก็หนีไปอย่างลอยนวลในทันที ปิดหน้าประวัติศาสตร์ผู้ก่อตั้งแบรนด์สุดอมตะแบบไม่มีวันเปิด ส่วนเหตุผลของแอนดรูว์ถูกคาดเดากันไปคนละทิศคนละทางตลอด 22 ปีที่ผ่านมา

  • ข้อสันนิษฐานแรกคือความเป็น “lavish style” ของแอนดรูว์ที่ต้องคอยหาแหล่งทุนหนาเพื่อสนับสนุนการดำรงชีวิตแบบอู้ฟู่หรูหรา และแน่นอนว่าการเป็นเกย์ย่อมต้องหาคู่ขาแหล่งทุนที่มีรสนิยมทางเพศเดียวกัน และจานนีเข้าข่ายทุกกรณี กระสุน 2 นัดที่ฝังเข้าไปในตัวของจานนีอาจจะเป็นรอยแค้นของชายหนุ่มผู้บ้าคลั่งที่มีต่อดีไซเนอร์มหาเศรษฐีอย่างจานนี เวอร์ซาเช่ ในแบบเดียวกับที่หนุ่มอำมหิตกระทำกับลี

     

  • ความมั่งคั่งอาจไม่ใช่ทุกสิ่ง การที่แอนดรูว์มีบุคลิกต่อต้านสังคมอาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เด็กหนุ่มที่มีความสนใจด้านแฟชั่นเช่นเดียวกับจานนี (อิงจากห้องพักที่พบศพแอนดรูว์เต็มไปด้วยหนังสือและนิตยสารแฟชั่น) มองว่ามันไม่เป็นธรรมกับตัวแอนดรูว์เอง เพราะที่จริงแล้วจานนีไม่ได้เหนือกว่าเขาสักเท่าไหร่ เพียงแต่โชคชะตาเลือกมอบความโชคดีให้กับหนุ่มอิตาเลียนคนนี้เท่านั้นเอง ความคับแค้นใจเรื่องโชคชะตาด้านแฟชั่นเป็นทฤษฎีตัวเลือกที่ 2

   

  • มีทฤษฎีเพิ่มเติมเรื่องการข้องเกี่ยวของจานนีกับกลุ่มมาเฟียในอิตาลี ซึ่งเป็นแนวคิดที่อิงจากศพนกพิราบข้างศพของเขา ถูกตีความเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มนักฆ่าเพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าเป็นฝีมือใคร ต่อมาได้ถูกล้มล้างอย่างรวดเร็วว่าเพราะพิสูจน์แล้วว่าเป็นเพียงเหตุบังเอิญเท่านั้น

   

  • เหตุผลอมตะที่ถูกใช้ยืนยันเรื่องนี้มาตลอดคือ ความรู้สึกโกรธแค้นของแอนดรูว์ที่ได้รับเชื้อ HIV (เขาแค่ระแวงเพราะผลตรวจจากศพคือเขาไม่มีเชื้อ) และเขาต้องการกำจัดผู้แพร่เชื้อให้กับเขาโดยการมีเซ็กส์แบบไม่ป้องกัน เขาจึงตามล่าและฆ่าผู้ติดเชื้อ และจานนีคือหนึ่งในนั้น หากทฤษฎีนี้เป็นจริงทั้งคู่ต้องเคยเจอและมีสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด แม้ว่าครอบครัวเวอร์ซาเช่จะออกมาปฏิเสธว่าเขาไม่มีเชื้อร้ายและไม่เคยพบเจอแอนดรูว์ด้วย แต่คนกว่าค่อนโลกก็เชื่อสมมติฐานนี้ไปเกินกว่าจะแก้ไขเสียแล้ว

 

     การสุ่มยิงเรียกว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เมื่อพูดถึงคดีนี้ เพราะแอนดรูว์มีเป้าหมายและเหตุจูงใจทุกครั้ง ตั้งแต่ความทุกข์ใจจากการถูกทอดทิ้งจากเจฟฟ์และเดวิด ความสัมพันธ์ลับ ๆ กับเศรษฐีเพื่อสนองไลฟ์สไตล์หรูหรา ไปจนถึงเหตุผลการชิงรถ และทุกครั้งการลงมือด้วยวิธีสุดโหดแสดงถึงความตั้งใจอย่างปฏิเสธไม่ได้ ในครั้งนี้เหตุผลของเพื่อนที่สำคัญอีกชิ้นคือวลีที่ว่า “เขาต้องการความโด่งดังอยู่เสมอ” เป็นอีกหนึ่งทฤษฎีการลงมือสังหารคนดังเพื่อถูกจารึกข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับผู้มีชื่อเสียงโดยมีนัยยะสำคัญกับบุคคลนั้น ๆ อย่างไม่อ้อมค้อม

 

4.It's Over ! No It's Not.

ศพของ Andrew ถูกขนออกมาจากที่พักของเขา / ภาพ: The Mirror

     ทุกข้อสันนิษฐานเหมือนถูกเททิ้งน้ำเพราะแอนดรูว์ปลิดชีพตัวเองในวันที่ 23 กรกฎาคม 8 วันหลังจากสังหารจานนี ที่บ้านลอยแพในน้ำห่างจากคฤหาสน์เวอร์ซาเช่ไปเพียง 3 ไมล์ ทิ้งข้อสงสัยไว้ให้เราคิดไม่ตกมาตั้งแต่ตอนนั้น เหตุการณ์นี้อยู่ที่ว่าใครเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์ ใครเป็นคนพูด และมองจากมุมใดมากกว่า ถ้ามุมมองของครอบครัวเวอร์ซาเช่ ความโหดร้ายดั่งปีศาจในตัวแอนดรูว์ถูกนำเสนอเป็นปัจจัยหลักด้วยความโกรธแค้น และการเอ่ยถึงด้านลบของจานนีจะไม่เกิดขึ้นจากมุมมองด้านนี้แน่นอน

ช่วงลมหายใจสุดท้ายของ Gianni ขณะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล / ภาพ: The Mirror

     ถ้ามองจากมุมเพื่อนของแอนดรูว์เหตุผลด้านการสร้างชื่อเสียงจะถูกยกมาไว้ในขั้นแรกสุด ชวนย้อนนึกถึงเหตุการณ์แบบการสังหาร John Lennon แต่ถ้ามองจากมุมของตำรวจนี่คือความสัมพันธ์ของ 5 คดีสะเทือนขวัญที่ซับซ้อน หรือจะเป็นมุมมองแบบอคติต่อจานนีก็มองได้ว่าแท้จริงแล้วเหตุผลการกระทำอาจมีหลักฐานอยู่แล้ว แต่อิทธิพลความยิ่งใหญ่ของครอบครัวอาจต้องการปิดบังเรื่องราวแง่ลบบางอย่างเพื่อรักษาความเป็นตำนานอันขาวสะอาดของจานนี

การโบกมือลาหลังจบโชว์ครั้งสุดท้ายในชีวิตของ Gianni Versace / ภาพ: Vanity Fair

     เรื่องราวนี้ไม่ได้สอนให้เราทุ่มเทเพื่อหาคำตอบในท้ายที่สุด แต่สอนให้รู้จักสร้างมุมมองในแต่ละส่วนเพื่อหาความสมเหตุผลสมผลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วคุณล่ะเชื่อในทฤษฎีแบบไหน? ประวัติศาสตร์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเกิดขึ้นอย่างไร สำคัญที่จะเขียนมันอย่างไรมากกว่า บางครั้งปลายปากกาอาจมีอำนาจมากกว่าความจริงที่ล่องลอยตามสายลม เมื่อลมพัดผ่านไปคงเหลือแต่รอยหมึกที่เลอะบนกระดาษให้คนรุ่นหลังได้จดจำ จานนี เวอร์ซาเช่คือสุดยอดนักออกแบบที่โชคร้ายโดนฆาตกรต่อเนื่องสังหาร นั่นล่ะคือรอยหมึกแห่งประวัติศาสตร์ ความโหดร้ายเดียวของประวัติศาสตร์คือเราได้มองโลกมุมเดียวโดยไม่มีโอกาสสัมผัสเรื่องราวที่แท้จริงครบทุกด้านอยู่เสมอ...

WATCH

คีย์เวิร์ด: #Versace #Gianni Versace