ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ในช่วงแฟชั่นวีกประจำฤดูกาลใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน ประจำปี 2023 นั้น คือช่วงที่คึกคักที่สุดในรอบเกือบ 3 ปีของอุตสาหกรรมแฟชั่นระดับโลก เพราะไม่เพียงแค่บนรันเวย์เท่านั้น ที่เหล่าดีไซเนอร์ชื่อดังต่างพากันสาดละเลงความคิดสร้างสรรค์แบบไม่มีใครยอมใครเท่านั้น (กระทั่งบ้างก็กลายเป็นไวรัลโด่งดัง สร้างมูลค่าบนโซเชียลมีเดียได้เป็นกอบเป็นกำ) หากสนามบินในช่วงเดียวกันนี้ก็คึกคักไม่แพ้กัน เมื่อเหล่าเซเลบริตี้ชื่อดังจากหลากหลายประเทศต่างมุ่งหน้าสู่แฟชั่นวีกเป็นว่าเล่น ไม่ต่างจากประเทศไทยที่หลายแบรนด์ดังก็ได้ส่งเทียบเชิญให้เดินทางไปร่วมชมโชว์ในฐานะของแขกคนสำคัญ นั่นเองที่ทำให้เราได้เห็นโลกแฟชั่นและแฟชั่นวีกที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

     แต่คำถามที่ตามมาก็คือ คนเหล่านั้นเกี่ยวอะไรด้วย แล้วทำไมแบรนด์ดังถึงเลือกศิลปินไทยไปนั่งฟรอนต์โรว์ของเขากันล่ะ...

     เท้าความกลับไปในยุคที่โลกแฟชั่นถูกกลืนกินด้วยวัฒนธรรมศิลปินและเซเลบริตี้แบบเต็มคราบ ซึ่งเห็นได้ชัดที่สุดเมื่อ Anna Wintour ผู้กุมบังเหียนโว้กอเมริกา เริ่มดึงเอาเหล่าศิลปินชื่อดังมาขึ้นปกนิตยสารแฟชั่นที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก (หลังจากที่คว่ำปากยืนยันว่าแฟชั่นกับดารานั้นไม่อาจเข้ากันได้มาเป็นเวลานาน) เพื่อหวังสร้างกระแสให้กับอุตสาหกรรมนิตยสารแฟชั่น ซึ่งก็นับว่าได้ผล เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมา ดารา เซเลบริตี้ หรือศิลปิน ก็กลายเป็นสิ่งจำเป็นบนปกนิตยสารแฟชั่นและนิตยสารประเภทอื่นๆ จนถึงทุกวันนี้

     ทว่าเหล่าคนดังก็ไม่ได้แทรกซึมเข้ามาในแค่พื้นที่ของสื่อแฟชั่นเท่านั้น หากเมื่อไม่นานมานี้ยังเกิดปรากฏการณ์แต่งตั้งเหล่าศิลปินชื่อดังเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ถี่จนเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นฝั่งยุโรปเอง หรือแม้แต่ฝั่งเอเชียเองที่ต่อแถวสร้างกระแสไวรัลให้กับแบรนด์แฟชั่นและจิวเวลรีไม่เว้นวัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเหล่าศิลปินชื่อดังจากประเทศไทยที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทั้งแบรนด์แอมบาสเดอร์ และ Friend of the House ไม่ว่าจะเป็น ‘ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์’ ในฐานะของ Friend of Louis Vuitton หรือจะเป็น ‘ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่’ ในฐานะของ Friend of Gucci หรือล่าสุดกับนักแสดงหนุ่มสุดฮอตอย่าง ‘ไบร์ท-วชิรวิชญ์ ชีวอารี’ ในฐานะของแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกแห่งภูมิภาคแปซิฟิกใต้ของแบรนด์ Burberry ที่ได้เดินทางไปชมโชว์เป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้

     การเลือกเอาเหล่าคนดังจากประเทศไทยขึ้นนั่งแท่นบทบาทสำคัญประจำแบรนด์แฟชั่นระดับตำนานเช่นนั้น ‘ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ’ อย่างแน่นอน เพราะแบรนด์เหล่านี้เล็งเห็นแล้วว่าคนไทยเหล่านี้สามารถสร้างไวรัลและกระแสบนโลกโซเซียลมีเดีย ที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์นั้นๆ เข้าถึงกลุ่มคนหมู่มากได้กว้างขวางยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นเองที่ยังสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมบันเทิงไทยที่เป็นรู้จักไปทั่วโลกอีกด้วย

     ไม่เพียงเท่านั้น เพราะหากสังเกตให้ดีจะพบว่าในฤดูกาลนี้ ไม่ได้มีแค่คนดังที่มีตำแหน่งประจำแบรนด์ต่างๆ เท่านั้น ที่ได้รับเชิญให้ไปชมโชว์ถึงหน้ารันเวย์ ทว่าเหล่าคนดังที่ดูมีแนวโน้มด้านภาพลักษณ์และมีพลังโซเชียลที่น่าสนใจ ที่จะสามารถพาแบรนด์ไปได้ไกลก็ได้รับเชิญให้ไปชมโชว์ในฐานะแขกฟรอนต์โรว์ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ‘เจมมี่เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ’ และ ‘เก้า-สุภัสสรา ธนชาต’ ที่ได้เดินทางไปชมโชว์ของ Dolce & Gabbana พร้อมถ่ายภาพร่วมเฟรมกับ Kim Kardashian มาได้ จนกลายเป็นไวรัลชั่วข้ามคืน หรือจะเป็น ‘นิชา-ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์’ กับโชว์ของแบรนด์ Valentino ที่กลายเป็นที่พูดถึงไม่แพ้กัน ทว่าที่เซอร์ไพรส์ใครหลายๆ คนที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘มิลลิ-ดนุภา คณาธีรกุล’ ที่ได้รับเชิญให้ไปนั่งฟรอนต์โรว์ของโชว์ Miu Miu ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อดึงดูดให้ฐานแฟนคลับของพวกเขาเหล่านี้หันมาสนใจโชว์ของแบรนด์แฟชั่นด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดอันแยบยลนี้

     กระนั้น หากบอกว่าการเชิญศิลปินไทยหรือคนดังจากทั่วโลกไปนั่งเฉยๆ หน้ารันเวย์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์อย่างเดียวก็คงจะผิดถนัด เพราะนอกจากสร้างไวรัลบนโลกออนไลน์แล้ว ใครเล่าจะรู้ว่าศิลปินไทยเหล่านี้มีส่วนสร้างมูลค่าทางธุรกิจให้กับแบรนด์ดังอยู่ไม่น้อย ดังที่มีรายงานว่า ‘ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์’ ซึ่งเดินทางไปกับแบรนด์ Onitsuka Tiger นั้นได้สร้างมูลค่าต่อสื่อได้มากที่สุดกว่า 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงมิลานแฟชั่นวีก ประเทศอิตาลี หลังจากได้กระทบไหล่ Yugyeom สมาชิกวง GOT7 ที่โชว์ครั้งนั้น หรือย้อนกลับไปอีกนิดกับหนุ่ม ‘วิน-เมธาวิน โอภาสเอี่ยมขจร’ ที่บินตรงไปร่วมชมโชว์ PRADA คอลเล็กชั่นเสื้อผ้าบุรุษ ประจำฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน ปี 2023 เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเขาสามารถสร้างมูลค่าทางสื่อไปได้มากถึง 26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 1,000 ล้านบาทนั่นเอง

     ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คงเป็นคำตอบได้แล้วว่า เพราะเหตุใด...แบรนด์แฟชั่นชื่อดังถึงได้เลือกคนไทยไปดูโชว์ในฐานะแขกคนสำคัญ ซึ่งโว้กเชื่อเหลือเกินว่า ความคึกคักจะไม่จบลงเท่านี้แน่นอน เพราะตอนนี้อุตสาหกรรมแฟชั่นไทยได้ปักหมุดบนพื้นอุตสาหกรรมแฟชั่นโลกแล้วเรียบร้อย