Vogue Thailand

WATCHES & JEWELLERY

VOGUE WATCH | เจาะลึกนาฬิกาที่ชนะ GPHG 2025 กับหมวดสาขารางวัลที่มีมากกว่าเรื่องเวลา

ความน่าสนใจของเรือนเวลาไม่ได้มีเพียงเรื่องเวลาหรือกลไกอันเหนือระดับ แต่เป็นสุดยอดวิธีการเล่าเรื่องราวผ่านงานฝีมือที่สอดแทรกรายละเอียดความน่าทึ่งจนคว้ารางวัล GPHG ในปี 2025

โดย Nattanam Waiyahong
24 พฤศจิกายน 2568

ช่วงปลายปีแบบนี้ วงการนาฬิกาจับจดกับการประกาศรางวัล Le Grand Prix d’Horlogerie de Genève หรือ GPHG ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น “ออสการ์แห่งวงการนาฬิกา” แน่นอนว่าในปี 2025 ความสำคัญของรางวัลนี้ยังเปรียบเปรยถึงความยิ่งใหญ่บนยอดพีระมิดเช่นเคย แต่ประเด็นที่น่าสนใจนอกเสียจากรางวัลสาขาต่างๆ แล้ว คือกรอบความคิดสร้างสรรค์ที่เมซงต่างๆ ทลายด้วยชั้นเชิงด้านศิลปะและนวัตกรรม นำมาสู่การสรุปรวบยอดรางวัลพิเศษสำหรับวงการนาฬิกาที่เป็นมากกว่าเรือนเวลาและการบอกเวลา ดั่งคำนิยามของผู้เขียนว่า “BEYOND THE TIME(PIECES)”

Article

CHOPARD Imperiale Four Seasons

คำกล่าวที่ว่าเป็นมากกว่าเรือนเวลาสามารถสะท้อนผ่านนาฬิกาจาก Chopard เรือนนี้ได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด สำหรับ Imperiale Four Seasons เป็นนาฬิการุ่นพิเศษจากคอลเล็กชั่น Imperiale เพราะนาฬิกาเรือนนี้ไม่เพียงแต่บอกเวลาผ่านรูปแบบกลไกปกติทั่วไป แต่กำลังบอกถึงช่วงฤดูกาลในช่วงปีได้อย่างแม่นยำและงดงาม นวัตกรรมแผ่นดิสก์พิเศษที่คอยหมุนอยู่ไล่ระดับเรียงสีเพื่อบ่งบอกถึงฤดูกาลต่างๆ วางอยู่ใต้ภายงานศิลปะรูปดอกบัวไวต์โกลด์ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ซึ่งแผ่นดิสก์ดังกล่าวทำจากวัสดุ mother-of-pearl ก่อนจะลงสีอย่างเนี้ยบประณีต เป็นส่วนหนึ่งของกลไก L.U.C 96.31-L ที่มีโมดูลสำหรับการหมุนแผ่นดิสก์ฤดูกาลโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังสำรองพลังงานได้มากถึง 65 ชั่วโมง ตัวเรือนเองก็ทำจากวัสดุไวต์โกลด์เสริมมิติความหรูหรา เช่นเดียวกับการประดับเพชรบริเวณข้อและเบเซล เติมความสมบูรณ์แบบอีกระดับด้วยนวัตกรรมการเปลี่ยนสายหนังให้เข้ากับพาเลตต์สีประจำฤดูกาล เท่ากับว่านาฬิกาเรือนนี้ที่คว้ารางวัลสาขา Ladies’ Complication สามารถถ่ายทอดรูปแบบความยอดเยี่ยมของโลกนาฬิกาผ่านสิ่งที่ไม่ใช่เวลาหลักชั่วโมง นาที และวินาที หรือแม้กระทั่งวันและวันที่ แต่เป็นช่วงฤดูกาลที่ทำให้สัมผัสถึงการเปลี่ยนผ่านของชีวิตได้อย่างสง่างาม

Article

L'EPÉE 1839 Albatross L’Epée 1839 x MB&F

ต่อเนื่องจากนวัตกรรมเรือนเวลาที่มากกว่าเรื่องเวลา นาฬิกาตั้งโต๊ะจาก L’Epée 1839 ผู้ชนะรางวัล Mechanical Clock ประจำปี 2025 คือคำตอบอีกรูปแบบที่ทำให้คนทั่ววงการนาฬิกาตื่นเต้น เริ่มตั้งแต่รูปทรงและตัวเลือกสีสัน เพราะนาฬิกาตั้งโต๊ะจำลองรูปทรงของพาหนะบนฟากฟ้าชื่อ “Albatross” ในวรรณกรรมของ Jules Verner เรื่อง Robur the Conqueror รวมถึงความสนใจเรื่องการบิน จรวด และบอลลูนของนักประพันธ์ มีองค์ประกอบรวมถึง 1,520 ชิ้น น้ำหนักรวม 17 กิโลกรัม สูงและยาว 60 เซนติเมตร กว้าง 35 มิลลิเมตร มีบาร์เรลเฉพาะสำหรับนาฬิกา 2 ชิ้นส่วน และมีบาร์เรลอื่นๆ สำหรับออโตเมตอน ความน่าสนใจคือวิธีการเล่าเรื่องผ่านเสียงและการเคลื่อนไหว ใบพัดของพาหนะอากาศสามารถขยับเขยื้อนและสร้างการหมุนราวกับกำลังมีนักบินบังคับอย่างไรอย่างนั้น มาพร้อมกับฟังก์ชั่นเสียงที่ถูกออกแบบให้ทำงานบอกเวลาอย่างแม่นยำ มากไปกว่านั้นยังสามารถส่งเสียงตามต้องการผ่านระบบกลไก On-demand ที่ทำให้เจ้าของเรือนเวลาได้สัมผัสหรือยลโฉมนวัตกรรมอันยิ่งใหญ่ตามต้องการ (แบบเต็มระบบ, แบบเงียบ และปิดการทำงานการเคลื่อนไหว) ซึ่งนาฬิกาตั้งโต๊ะขนาดยักษ์ใหญ่สำรองพลังงานได้นานถึง 8 วัน โดยนาฬิกาสุดพิเศษที่มีให้เลือกถึง 5 สี ประกอบด้วย สีน้ำเงิน แดง เขียว แชมเปญ และดำ ถือเป็นนาฬิกา “propeller hour” เรือนแรกของโลก

Article

ANTON SUHANOV St.Petersburg Easter Egg Tourbillon Clock

สุดยอดผลงานที่ท้าชิงกับพาหนะอากาศ “Albatross” จาก L’Epée 1839 คือ St.Petersburg Easter Egg Tourbillon Clock นาฬิกาตั้งโต๊ะรูปทรงไข่ที่สร้างปรากฏการณ์ความน่าทึ่งกับรูปทรงอันสามารถสร้างความประทับใจได้ด้วยการตั้งตระหง่านแบบไม่ต้องมีชิ้นส่วนการค้ำยันเพิ่มเติม ใช้เพียงฐานสเตนเลสสตีลขัดเงา รองรับชิ้นส่วนหลักหรือ “shell” ที่มาในรูปแบบเคสเงินที่ใช้เทคนิคกีโยเช่เพื่อสร้างลวดลายและพื้นผิวอันมีเอกลักษณ์ รวมถึงสอดแทรกเทคนิคอินาเมลเช่นเดียวกัน ก่อนจะปิดท้ายความสมบูรณ์แบบด้วยโดมคริสตัลใสเผยให้เห็นกลไกตูร์บิญงและหลักเวลา มากไปกว่านั้นยังมีฟังก์ชั่นการบอกและปรับเวลาแบบ 24 ชั่วโมง พร้อมด้วยการขัดแบบพิเศษเพื่อเพิ่มคอนทราสต์สำหรับหลักเวลาของเมืองในรัสเซีย ต้นกำเนิดของเมซง ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานนวัตกรรมที่ผสมผสานทั้งความแปลกใหม่ การสร้างสรรค์อีสเตอร์เอ้กแบบโมเดิร์น และชุบชีวิตมรดกทางวัฒนธรรมให้อยู่ในรูปแบบเรือนเวลาที่มีมากกว่าแค่การบอกเวลาโดยแท้จริง ซึ่งความยอดเยี่ยมนี้ส่งให้คว้ารางวัล GPHG ประจำปี 2025 สาขา Horological Revelation สะท้อนความสดใหม่ที่ผลิไอเดียอย่างเบิกบานในรอบปี

Article

GÉRALD GENTA Gentissima Oursin Fire Opal

สำหรับนาฬิกาเรือนสุดท้ายในหัวเรื่องของเรือนเวลาที่มากกว่าเรื่องเวลาคือ Gentissima Oursin Fire Opal จาก Gérald Genta มาตรฐานความแม่นยำด้านเวลาถูกถ่ายทอดผ่านหน้าปัดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะขนาด 36.5 มิลลิเมตร มาพร้อมกลไก GG-005 ที่ถูกพัฒนาขึ้นภายในเมซง ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การประดับตัวเรือนเยลโลว์โกลด์ด้วยโอปอลสีเพลิงจำนวน 137 เม็ด อัญมณีที่มีรากฐานเชื่อมโยงกับความงดงามเชิงศิลป์และพลังงานอันเหลือล้น สอดประสานกับหน้าปัดคอร์เนเลียนสีส้ม สะท้อนภาพความงดงามของธรรมชาติในโทนร้อนและการเสริมสร้างพลังงานอย่างมีนัยสำคัญ เบเซลด้านในยังเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงลายเส้นของเมซง ทั้งหมดถูกคิดค้นโดยตั้งบนรากฐานของความสนุกและความช่างสงสัย ทำให้นาฬิกาเรือนนี้คว้ารางวัลสาขา Ladies’ ไปครองอย่างสมเกียรติ และยังถือเป็นตัวอย่างการพัฒนานาฬิกาที่อาจไม่ได้มุ่งเน้นการบอกเวลาแบบละเอียดยิบ แต่ผสมผสานระหว่างการใช้งานจริงด้วยความเรียบง่าย (มีเพียงหลักชั่วโมงและนาที) กับการนำเสนอตัวตนพร้อมความสวยงามอย่างเต็มที่

เรื่อง : นาทนาม ไวยหงษ์
กราฟิก : จินาภา ฟองกษีร
ภาพ : Courtesy of GPHG / Brands