ดูเหมือนว่ากระแสจากรายการสัมภาษณ์ของ เจ้าชายแฮร์รี่ และเมแกน มาร์เคิล จะไม่ได้เพียงแค่สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้เกิดขึ้นไปทั่วโลกโซเชียลมีเดีย จนเกิดเป็นแฮชแท็กสะเทือนบัลลังก์อังกฤษอย่าง #AbolishTheMonarchy เท่านั้น หากแรงสั่นสะเทือนจากคำตอบของดยุก และดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ เกี่ยวกับประเด็นการเหยียดสีผิว อาร์ชี เมาต์แบตเทิน จากสมาชิกราชวงศ์ในครั้งนั้น ยังกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงสำคัญให้เกิดขึ้นในราชวงศ์วินด์เซอร์อีกด้วย

     หลังจากที่รายการสัมภาษณ์เปิดใจ Oprah with Meghan and Harry: A CBS Primetime Special ที่ดำเนินรายการโดยพิธีกรหญิงชื่อดังชาวอเมริกันอย่าง โอปราห์ วินฟรีย์  ได้ออกอากาศไปในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2021 ที่ผ่านมา ยังสร้างความเคลือบแคลงสงสัยในตัวของสมาชิกราชวงศ์อังกฤษปัจจุบันในหลากหลายประเด็น หนึ่งในนั้นคือ “ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ และสีผิว” ที่ถูกอ้างถึงโดยเมแกน ที่แม้ว่าต่อมาจะมีแถลงการณ์จากพระราชวังบักกิ้งแฮมออกมาแก้ต่างว่า สมาชิกราชวงศ์ไม่เคยนิ่งนอนใจต่อปัญหาดังกล่าว อีกทั้งเจ้าชายวิลเลียมยังเพิ่งได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อหลายสำนักว่า “ราชวงศ์ไม่ใช่คนประเภทนั้น” เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทว่าล่าสุดทางสำนักพระราชวังบักกิ้งแฮมก็ได้เผยว่า “ทางพระราชวังอาจตั้งใครบางคนขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อน และปรับปรุงประเด็นปัญหาด้านความหลากหลายภายในราชสำนักโดยตรง” โดยมีการอ้างถึงในแถลงการณ์ดังกล่าวว่า "ความหลากหลายเป็นประเด็นที่ได้รับความเอาจริงเอาจังจากสมาชิกพระราชวงศ์" อีกด้วย

     กระนั้นทางฝั่งของราชวงศ์ก็ยังถูกตั้งคำถามตามมาว่า หากไม่เกิดเหตุการณ์ที่ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ออกมาเล่าผ่านรายการดังกล่าว ทางสำนักพระราชวังก็คงจะไม่ยอมเคลื่อนไหว หรือเอาจริงเอาจังกับประเด็นนี้เป็นแน่ ทว่าทางสำนักพระราชวังก็ได้ออกมาโต้กลับทันทีว่า “เรามีนโยบาย วิธีการ และโครงการนี้อยู่นานแล้ว แต่เรายังไม่เห็นความคืบหน้าที่ถูกแสดงออกมาอย่างที่ต้องการ และยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ ซึ่งเราวางแผนเอาไว้ว่าจะทำให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ" ซึ่งทางสำนักข่าว The Mail ยังได้รายงานเพิ่มเติมไว้อีกว่า โครงการดังกล่าวเกี่ยวกับการสนับสนุนความหลากหลายของราชวงศ์อังกฤษนั้น ไม่ได้เพียงจะให้ความสำคัญกับเรื่องของกลุ่มคนผิวสีเท่านั้น หากยังรวมไปถึงกลุ่มคนที่มีความหลากหลายอื่นๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มคนพิการ, กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ไปจนถึง ทรานส์เจนเดอร์ และอีกมากมาย ที่เราต่างต้องมาตามดูกันแล้วว่า การจัดการปัญหาสำคัญครั้งนี้ของราชวงศ์อังกฤษจะสามารถเรียกคะแนนความนิยมกลับมาให้กับราชวงศ์ได้หรือไม่...