หลังจากรอคอยมาอย่างนาวนานแฟนๆ ซีรี่ส์และมังงะเรื่อง Alice in Borderland ก็สมหวังเมื่อเน็ตฟลิกซ์ปล่อยผลงานซีซั่น 3 ออกมาให้เชยชมกันเสียที ถึงแม้จะได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์หนาหูว่าไม่สามารถเทียบระดับความยอดเยี่ยมของ 2 ซีซั่นก่อนหน้าได้ ทว่าเรื่องราวตลอด 6 ตอนนำเสนอทฤษฎีการวิเคราะห์ที่น่าสนใจมากมาย รวมถึงทฤษฎีสมคบคิดที่เกิดขึ้นตามแนวคิดของคนกลุ่มต่างๆ ซึ่งถือเป็นความสนุกของการชมซีรี่ส์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เพราะการตีความและสะท้อนเรื่องราวจากความนามธรรมและเหนือจริงคือสิ่งที่ทำให้เกิดการตระหนักคิด เรื่อยไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างน่าสนใจ
ทฤษฎีการเปรียบไพ่เป็นปฏิทิน
ทฤษฎีนี้เป็นการสรุปต่อยอดจากบทสนทนาในช่วงสุดท้ายของซีรี่ส์ที่อะริสุ พระเอกของเรื่องต้องเผชิญกับการเลือกไพ่เพื่อตัดสินใจชะตาชีวิต การจับไพ่โจ๊กเกอร์กลายเป็นการเปรียบเปรยที่ทำให้ผู้ชมตาลุกวาวกับความสอดคล้องระหว่างสิ่งของรอบตัวและระบบสากลอย่างปฏิทิน คำกล่าวที่ว่าไพ่ 1 สำรับ ประกอบด้วยไพ่ 4 ดอก (ดอกจิก โพดำ ข้าวหลัมตัด และโพแดง) แต่ละเซ็ตมีจำนวนทั้งหมด 13 ใบ รวมกันจะได้ 52 ใบและมีผลรวมการบวกเลขอยู่ที่ 364 วัน (J=11, Q=12 และ K=13) และหากรวมโจ๊กเกอร์ 1 ใบจะเป็น 365 ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนวันในแต่ละปีพอดิบพอดี และถ้าบวกโจ๊กเกอร์เข้าไปอีก 1 ใบจะกลายเป็น 366 วันหรือจำนวนวันในปีอธิกสุรทิน มากไปกว่านั้นจำนวนไพ่ 52 ใบ (ไม่รวมโจ๊กเกอร์) ยังอาจหมายถึงจำนวนสัปดาห์ของแต่ละปีอีกด้วย ดังนั้นโจ๊กเกอร์จึงเหมือนการปรับสมดุลระหว่างโลกแห่งเวลาตามปีปฏิทิน นอกจากนี้ยังมีความหมายฝางในเชิงการเปรียบเซ็ตไพ่กับปรากฏการณ์ข้างขึ้นข้างแรม โดยไพ่แต่ละใบแต่ละหน้าก็มีความหมายเฉพาะนำมาสู้การนำเสนอเกมอันหลากหลายใน Alice in Borderland ตลอดทุกซีซั่นที่ผ่านมา
ทฤษฎีความพิเศษของหมออัน
โลกระหว่างความเป็นและความตายคือโลกที่จังหวะเวลาในโลกความจริงดำเนินไปเพียง 2 นาที แต่สำหรับโลกพิเศษเวลามันช่างยาวนานและสถานการณ์โหดร้ายเสียเหลือเกิน หมออันที่รับบทโดย Akaya Miyoshi กลายเป็นคนพิเศษที่สามารถจดจำเรื่องราวและมองเห็นบุคคลก้ำกึ่งระหว่างโลกได้อย่างน่าประหลาด ตามหลักการอธิบายเรื่องราวจะพบว่าหมออันเกือบสูญเสียตัวตนไปสู่โลกแห่งความตาย แต่เสี้ยววินาทีสุดท้ายเธอถูกกระตุ้นกลับมาให้มีชีวิตจากการช่วยเหลือ (ในโลกความจริงคือความช่วยเหลือทางการแพทย์) หมายความว่าเธออยู่ในสภาวะก้ำกึ่งระหว่างการตกค้างเป็นพลเมืองในโลกพิเศษ ในขณะเดียวกันก็กลับมาเป็นมนุษย์ปกติโดยสมบูรณ์ ความสามารถพิเศษที่ทำให้หมออันมีองค์ความรู้หรือประสบการณ์ไม่เหมือนคนอื่นจึงเกิดจากจังหวะเวลาและความเสี่ยงสูญเสียแบบสุดลิ่มทิ่มประตูนั่นเอง
ทฤษฎีความทรงจำของอะริสุ
ฉากหน้าของทฤษฎีความทรงจำของอะริสุเต็มไปด้วยความน่าฉงนให้คนตั้งคำถามว่า “สรุปแล้วอะริสุจำได้หรือไม่” จากประเด็นนี้จึงเกิดทฤษฎีสมคบคิดมากมาย บ้างก็ว่าอะริสุจำเรื่องราวหรือเหตุการณ์ได้บางส่วน บ้างก็ว่าอะริสุจำได้ทั้งหมดแต่ไม่เลือกที่จะจดจำ หรือแม้แต่อะริสุจำอะไรไม่ได้เลย ในเกมการรื้อฟื้นความทรงจำเกิดขึ้นพร้อมการนึกย้อนถึงอดีตร่วมกับคนอื่นๆ ทว่าเมื่อกลับสู่โลกจริงดูเหมือนว่าจะเข้าพลอตเดิมคือทุกคนจะลืมเรื่องความทรงจำทั้งหมดหลังฟื้นจากสภาวะเฉียดตาย แต่มีคนจำนวนหนึ่งหยิบคีย์ของบทสนทนาเล็กๆ น้อยๆ มาตั้งเป็นทฤษฎีสมคบคิด โดยมองว่าอะริสุจำเหตุการณ์ได้ (อย่างน้อยก็บางส่วน) เพราะมีการเปลี่ยนคำที่ใช้เรียกหมออันจากเดิม “อันซัง” เป็น “อัน” เฉยๆ ซึ่งหมายความเข้าถึงสนิทและชิดเชื้อมากขึ้น ทำให้บางคนตีความจากจุดเล็กน้อยนี้ว่าเป็นสัญญาณว่าอะริสุอาจจะจำหมออัน แต่นี่ก็เป็นเพียงทฤษฎีที่ไม่มีเหตุผลประกอบยืนยัน และตามบทเรื่องอะริสุจะต้องจำอะไรไม่ได้เลยเหมือนกับคนอื่นๆ ถึงจะผ่านเรื่องราวเหนือจินตนาการไปยิ่งกว่าใครก็ตาม
ทฤษฎีความไว้วางใจที่อะริสุมอบแด่ริวจิ
เชื่อว่าหากใครชมซีซั่น 3 คงจะตั้งคำถามกับความหวังจะฝากคู่ครองที่กำลังตั้งท้องกับคนที่มีข้อบาดหมางกัน แต่บทวิเคราะห์ตรงนี้ทำให้เกิดทฤษฎีการบีบบังคับและจิตวิทยา หลายคนมองว่าอะริสุต้องการจะบีบบังคับทางจิตใจกับริวจิผู้กำลังหลงไปในความคิดเชิงลบให้รักษาดูแลภรรยาตัวเอง ความกดดันของเขาสร้างเกราะกำบังพิเศษที่อาจบดบังแนวคิดชั่วร้ายของริวจิได้ไม่มากก็น้อย สังเกตได้จากการสังหารอุซางิที่ริวจิสามารถทำได้ตั้งแต่ลั่นไกยิงปืน แต่เกิดความลังเลเพราะได้รับการฝากฟังจากคนผู้เป็นสามีของฝ่ายหญิง เกราะกำบังทางจิตใจแม้จะแตกสลายในเวลาไม่นาน แต่การโยนความรับผิดชอบพร้อมความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกลายเป็นเครื่องมือยื้อเวลาที่อาจส่งผลให้อุซางิอยู่รอดจนกระทั่งอะริสุสามารถทะยานออกมาช่วยให้เธอพ้นภัยและกลับสู่โลกความจริงอย่างปลอดภัยได้สำเร็จ
ทฤษฎีเชิงจิตวิทยากับเกมซอมบี้และบันไดงูแห่งอนาคต
หลังจากซีรี่ส์ปล่อยออกมาไม่กี่วัน ด้วยความยาวเพียง 6 ตอน แฟนๆ ที่รอคอยมาอย่างยาวนานจำนวนไม่น้อยก็ชมแบบรวดเดียวจบ หลังจากนั้นก็เกิดกระแสวิจารณ์เกมในซีซั่นนี้อย่างหนาหู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมซอมบี้และบันไดงูที่มีตัวเลือกมากมาย ซึ่งหลายครั้งก็ขัดใจกับผู้ชมบางกลุ่ม สำหรับทฤษฎีความเป็นมนุษย์หรืออาจเรียกว่าบทวิเคราะห์มากกว่า กล่าวถึงความท้าทายในจิตใจมนุษย์ที่ซับซ้อนมากกว่าการตัดสินใจเล่นเกม หากสวมแว่นตามองชีวิตผ่านตัวละครจะพบว่า ‘ความตาย’ เป็นเรื่องน่ากลัวและการเข่นฆ่าก็ไม่ใช่ทางออกสำหรับมนุษย์ส่วนใหญ่ ดังนั้นเกมซอมบี้หลายคนจึงพูดถึงการเสียสละหรือการใช้ปืนกำจัดซอมบี้แบบโหดเหี้ยม ทว่าแท้จริงแล้วมนุษย์ไม่ได้อยากตายหรือเสียสละเพื่อใครก็ไม่รู้ ในขณะเดียวกันผู้ลงมือก็ไม่ใช่จะเลือดเย็นสามารถปลิดชีพคนอื่นแบบง่ายดายเหมือนกดเมาส์ยิงปืนในเกม FPS รวมถึงการตราหน้าด้วยชื่อว่าซอมบี้ทำให้รู้สึกว่าไม่ต้องการจะเป็น และหาทางออกในการเอาชนะด้วยการเป็นมนุษย์ ทั้งที่แท้จริงแล้วการชนะด้วยสถานะซอมบี้ง่ายดายและเรียบง่ายกว่าหลายเท่าตัว เพียงแค่แพร่กระจายไปเรื่อยๆ ครบ 20 รอบ ซอมบี้ก็จะเป็นผู้รอดชีวิตดั่งที่อะริสุเซอร์ไพรส์ด้วยแผนแยบยลในโค้งสุดท้ายของเกม ในทางกลับกันผู้คนที่ถือไพ่ก็ไม่อยากให้ใครก็ไม่รู้ได้เห็นสถานะของตนเอง โดยเฉพาะซอมบี้ เพราะด้วยความเป็นใครก็ไม่รู้อาจเจอบุคคลบ้าดีเดือดใช้ปืนกำจัดและชีวิตก็เสียเปล่าไปแบบไม่มีการเริ่มใหม่ ดังนั้นความซับซ้อนเชิงจิตวิทยาตรงนี้ทำให้เกมที่เหมือนจะขัดใจผู้ชมบางส่วน แต่ก็สะท้อนสังคมการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ที่ไม่ได้มีความสนิทชิดเชื้อและมุ่งเป้าการเอาตัวรอดเป็นสำคัญได้อย่างดี ก้าวข้ามกระโดดมาอีกเกมกับเกมบันไดงูแห่งอนาคตก็เช่นกัน บางคนอาจมองว่าการเดินทางของตัวละครนั้นสวนทางกับความเรียบง่าย โดนชักจูงจากวิดีโออนาคตไปเสียหมด แต่ในมุมมองบุคคลที่ 3 การมองลงไปในเกมกระดานทำให้มองตัวละครเป็นตัวเบี้ยเท่านั้น การสละตัวเบี้ยหรือการเดินดั่งใจควบคุมจึงเป็นเรื่องที่เปรียบเปรยกันได้ไม่ลงตัว สุดท้ายอารมณ์มนุษย์ทำหน้าที่กระตุ้นความรู้สึกและการกระทำได้มากกว่า ผู้เล่นในเกมจึงเลือกอนาคตที่เชื้อเชิญจนพบกับความหายนะ (การหักแต้ม) และจบสิ้นชีวิตที่สุด บางครั้งมันอาจห่างไกลกับทางออกจนผู้ชมรู้สึกขัดใจไปบ้าง แต่เกมทั้งหมดพยายามทำให้เราเข้าใจแนวคิดของปัจเจกบุคคล ไม่ใช่การรับบทเป็นตัวเบี้ยนบนกระดานอย่างที่หลายคนมอง
ทฤษฎีการเอาตัวรอดบนรถไฟที่ไม่ใช่ดวง
รถไฟมรณะที่มีแก๊สพิษเต็มไปหมดมาพร้อมทางเลือกของหน้ากากกันพิษที่ชวนลังเล เกมนี้เป็นบททดสอบที่เหมือนจะไร้ซึ่งทางออก อาจต้องอาศัยเพียงดวงเท่านั้น ทว่าทีมฝั่งอะริสุสามารถรรอดพ้นจากด่านนี้ได้(เหมือน)ง่ายดาย ข้อสันนิษฐานที่นอกเหนือจากการคาดเดาเชิงประจักษ์จากโครงสร้างของรถไฟคือคำใบ้ตลอดแนวรถไฟ เพราะนอกจากนกคีรีบูนกลางห้องแล้ว คำใบ้สำคัญคือป้ายโฆษณาบนรถไฟที่ถ้าอากาศบริสุทธิ์จะมีโฆษณาการฟอกอากาศหรืออากาศบริสุทธิ์อยู่เสมอ ดังนั้นทีมอะริสุจึงรอดปลอดภัยมาได้แบบไม่ต้องตะเกียกตะกายหารถไฟขบวนอื่นเป็นทางลัด แต่นี่เป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิดจากการสังเกตของแฟนๆ ที่ชมซีรี่ส์เท่านั้น ไม่ได้ระบุยืนยันหรือเฉลยออกมาอย่างชัดเจน
ทฤษฎีแอ่งน้ำวนแห่งความตายและการใช้ชีวิตอยู่
บรรยากาศมหันตภัยกระแสน้ำแรงเชี่ยวที่จะดูดชีวิตของผู้เล่นลงสู่หลุมแห่งความตายคือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตที่มนุษย์ยากจะต้านทานกับความสูญเสีย แน่นอนว่าถึงแม้จะมีหนทางที่ทำให้รอดพ้นความหายนะ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะสามารถควบคุมชะตาตนเองได้เสมอไป ความตายอยู่เพียงเอื้อมมือคือการเปรียบเปรยที่ทำให้เห็นว่าชะตาระหว่างความเป็นกับความตายมันยากจะต้านทาน ในทางกลับกันกับการใช้ชีวิตอยู่ เหล่าผู้รอดชีวิตจากเกมซีซั่นก่อนกลับมาให้ทุกคนหายคิดถึง พร้อมแชร์ประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีหลังความตาย บางครั้งการเฉียดจุดสิ้นสุดของชีวิตอาจเป็นจุดสะท้อนให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น แม้จะจำความยากลำบากในเกมไม่ได้แม้แต่นิด แต่ทุกคนล้วนสัมผัสถึงโอกาสที่จะใช้ชีวิตต่อและไม่หวนคืนสู่วังวนแห่งความตายโดยเจตนาอีกต่อไป สิ่งเหล่านี้คือวิธีการขมวดปมจมสุดท้าย นำมาสู่ทฤษฎีแห่งการให้ข้อคิดในการมีชีวิตอยู่ บางครั้งเป้าหมายในชีวิตอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นการใช้ชีวิตตามวิถีของปัจเจกบุคคล
สุดท้าย Alice in Borderland อาจไม่ใช่ซีรี่ส์ดราม่าหรือปริศนาธรรม ทว่ามันก็เปี่ยมด้วยสัญญะที่เปิดกว้างสำหรับการตีความ นำมาสู่การก่อร้างสร้างทฤษฎีทั้งอิงจากข้อเท็จจริง ข้อสันนิษฐาน ไปจนถึงการวิเคราะห์ห้วงอารมณ์ แล้วแฟนๆ โว้กล่ะมีทฤษฎีไหนจากเรื่องนี้ที่ชื่นชอบกันบ้าง
(สามารถอ่านเรื่องราวเพิ่มเติมเรื่อง Alice in Borderland ได้กับบทความ Alice in Borderland สร้างประวัติศาสตร์เป็นซีรี่ส์ญี่ปุ่นที่มีผู้ชมมากที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา)

