FASHION

แกะเปลือกซีรี่ส์โด่งดัง “องค์หญิงกำมะลอ” จริงมากน้อยแค่ไหนตามประวัติศาสตร์ราชวงศ์ชิง

รู้ไหมว่าซีรี่ส์เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงตามประวัติศาสตร์

     ไม่ว่าจะอยู่ยุคไหนซีรี่ส์จีนอันโด่งดังอย่าง “องค์หญิงกำมะลอ” ก็ยังคงเป็นที่รู้จักไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้มีการสร้างภาคต่อทั้งหมดถึง 3 ภาคอย่างในปี 1998, 1999, 2003 และยังมีการหยิบมารีเมกใหม่อีกครั้งในปี 2011 ต้องยอมรับว่าความโด่งดังของซีรี่ส์ยาวชุดนี้มาจากเรื่องราวที่สดและแปลกใหม่ตามบทประพันธ์ของ “ฉงเหยา” แทรกเรื่องราวที่หลายส่วนหยิบยืมมาจากประวัติศาสตร์จริง ผสมผสานด้วยความสนุกสนานอิงนิยายไปด้วยระหว่างทาง ในบทความนี้เราจะพาย้อนกลับไปดูกันว่าในซีรี่ส์องค์หญิงกำมะลอนั้น จะมีเรื่องไหนบ้างที่ตรงตามประวัติศาสตร์จริง

ภาพ: Pinterest

แรงบันดาลใจจากลูกบุญธรรม

     เรื่องราวขององค์หญิงกำมะลอเกิดขึ้นภายใต้ยุคของ “เฉียนหลงฮ่องเต้” ผู้ยิ่งใหญ่ จักรพรรดิองค์ที่ 5 ของราชวงศ์ชิง ในประเทศจีน จักรพรรดิเฉียนหลงนับว่าเป็นพระราชาที่มีบทบาทสำคัญตามหน้าประวัติศาสตร์ เนื่องจากพระองค์ทรงสร้างความเจริญมากมายให้กับประเทศจีนรวมไปถึงการจัดทำสารานุกรม ที่กลายมาเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลกในภายหลัง ทรงขึ้นครองราชย์ด้วยพระชนมายุเพียง 24 พรรษาเท่านั้น โดยซีรี่ส์องค์หญิงกำมะลอนั้นผู้แต่งก็ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของพระธิดาบุญธรรมของพระองค์ในชีวิตจริง จึงนำมาสานต่อกลายเป็นซีรี่ส์อันโด่งดัง

 

การดื่มชา

     การดื่มชานับเป็นวัฒนธรรมของชาวจีนมาแต่ช้านาน แต่จะแพร่หลายเพียงแค่ในราชสำนักเท่านั้น เมื่อก้าวสู่ราชวงศ์ชิงที่เป็นพื้นหลังของซีรี่ส์ในเรื่องนับว่าเป็นยุคที่การดื่มชากระจายไปทั่วแผ่นดินและกลายมาเป็นวัฒนธรรมของมวลชน โดยไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะชาวรั้วเท่านั้น ทำให้ยุคนี้เกิดธุรกิจโรงน้ำชามากมาย และมีการแสดงมหรสพภายในโรงน้ำชาอีกด้วย ชาในยุคนี้มักจะลดความพิถีพิถันลงและดื่มชงง่ายมากขึ้นกว่าการชงชาในสมัยราชวงศ์ถัง เพียงแค่ลวกใบชาด้วยน้ำร้อนเท่านั้นก็สามารถดื่มได้แล้ว

ภาพ: Pinterest

องค์ชายห้าหรือหย่งฉี 

     แม้ตัวละครส่วนมากในซีรี่ส์จะถูกแต่งขึ้น แต่องค์ชายห้าหรือชื่อว่า “หย่งฉี” ที่เป็นพระเอกของเรื่องนั้นกลับมีตัวตนจริงตามประวัติศาสตร์ พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถในหลายเรื่อง ทั้งด้านการเรียนที่มักจะขวนขวายกว่าผู้อื่นเสมอ ทรงตรัสภาษาแมนจูและภาษามองโกลได้อย่างคล่องแคล่ว ทรงรอบรู้เรื่องการแต่งบทกวี ประดิษฐ์ตัวอักษร ภูมิศาสตร์ และดาราศาสตร์ และยังทรงเชี่ยวชาญด้านการขี่ม้าและยิงธนู ตามเนื้อเรื่องในซีรี่ส์แล้วองค์ชายหย่งฉีเองก็เป็นที่คาดหวังจะได้รับสืบทอดบัลลังก์เช่นเดียวกัน หากในชีวิตจริงพระองค์กลับสิ้นพระชนม์ด้วยวัยเพียงแค่ 25 ปีเท่านั้น



WATCH




ภาพ: Pinterest

ทรงผมแมนจู

     ในซีรี่ส์เราจะได้เห็นผู้ชายทุกคนโกนหัวครึ่งหนึ่งแล้วถักเปียไว้ที่ด้านหลัง เรื่องราวสืบเนื่องมาจากชนเผ่าแมนจูทางตอนเหนือมีกำลังมากสามารถรุกคืบและยึดดินแดนของชาวฮั่นหรือชาวจีนได้สำเร็จ จึงมีการสถาปนาราชวงศ์ชิงขึ้นและเพื่อให้ชาวจีนทุกคนอยู่ภายใต้การปกครองของแมนจูโดยแท้จริง จึงมีการออกกฎหมายให้ชายชาวจีนทุกคนโกนหัวครึ่งหนึ่งและถักเปียไว้ที่ด้านหลังแบบชาวแมนจู หากใครฝ่าฝืนก็จะได้รับโทษด้วยการตัดศีรษะทิ้งทันที ผมทรงนี้นับว่าเป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าแมนจูมาแต่ช้านาน เพราะมีความสะดวกในการล่าสัตว์ที่ผู้ชายยึดเป็นอาชีพ 

ภาพ: Pinterest

ทรงผมและเครื่องหัว

     จุดเริ่มต้นทรงผมของผู้หญิงในซีรี่ส์มาจากผมทรงต้นตำรับที่เรียกว่า “ทรงสองแกละ” คือการแบ่งช่อผมออกเป็นสองข้างแล้วสอดเข้าไปที่แผ่นเหล็กสีดำดัดเป็นรูปตัว T แล้วจึงประดับด้วยดอกไม้หรือพู่ห้อย แต่ภายหลังทรงนี้เริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จึงเปลี่ยนจากการใช้ผมสอดที่แผ่นเหล็กเป็นการหยิบเอาพัดสีดำมาใช้แทน เพื่อทำให้ปีกผมสองข้างกว้างขึ้นกว่าเก่า แล้วจึงประดับด้วยพู่ห้อยต่างๆ แน่นอนว่าทรงผมที่มีขนาดใหญ่ และมีเครื่องประดับอย่างพู่ห้อยเยอะ ก็เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงฐานันดรศักดิ์ที่สูงส่งนั่นเอง โดยทรงนี้มีชื่อเรียกกันว่า “ต้าลาเช่อ”

ภาพ: Pinterest

การแต่งตัวและรองเท้า

     การแต่งตัวในสมัยราชวงศ์ชิงนั้นชาวฮั่นจะได้รับอิทธิพลจากชาวแมนจูค่อนข้างมาก โดยชุดที่เราเห็นองค์หญิงหวนจูสวมบ่อยๆ ในวังคือชุดที่เรียกว่า “ชุดเชิ่นอี” และ “ชุดฉ่างอี” ซึ่งเป็นชุดตัวยาวคอกลม ไม่มีปกเสื้อ แขนเสื้อกว้างและมีลวดลายงดงาม เป็นชุดที่หญิงสูงศักดิ์ในพระราชฐานชั้นในสวมใส่ในวันปกติ อีกหนึ่งสิ่งคือรองเท้าส้นสูงหรือที่เรียกว่า “เกี๊ยะแมนจู” ในซีรี่ส์เองเราก็ได้เห็นหญิงสาวในรั้วในวังต่างใส่รองเท้าแบบนี้ด้วยกันทั้งสิ้น รองเท้าแบบนี้จะมีส้นอยู่ตรงกลางซึ่งสูงประมาณ 10 ซม. และยังตกแต่งด้วยลวดลายสวยงาม รองเท้าแบบนี้ส่วนมากหญิงแมนจูจะเป็นผู้สวมใส่ เพราะไม่ต้องการมัดเท้าให้เล็กเหมือนหญิงชาวฮั่น

 

การถวายบังคม

     ประเทศจีนนับเป็นประเทศมหาอำนาจตั้งแต่ในอดีต องค์จักรพรรดิก็นับว่ามีอำนาจสูงสุดในประเทศ ดังนั้นในการเข้าเฝ้าแต่ละครั้งเรามักจะได้เห็นการหมอบกราบ หรือก้มลงคุกเข่าถวายคำนับเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีขั้นสูงสุด หากเป็นสตรีเพียงแค่ยอบตัวลงน้อยๆ เท่านั้น ถ้าเป็นบุรุษต้องสะบัดปลายแขนเสื้อทั้งสองด้านลงก่อนคำนับลงกับพื้น ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวนั้นไม่ได้มีอาวุธใดๆ หลบซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ เป็นการแสดงถึงความนอบน้อม ความซื่อสัตย์่ต่อองค์จักรพรรดิ และยังเป็นการสร้างความปลอดภัยของพระองค์และคนอื่นๆ อีกด้วย

ข้อมูล : Prachathai, Enlightenth, MGRonline

WATCH