เมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และระบบของอวัยวะต่างๆ สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ “วิตามินเอ (Vitamin A)” ก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะวิตามินช่วยในเรื่องการมองเห็น และดูแลระบบภูมิคุ้มกัน ระบบสืบพันธุ์ และการเผาผลาญพลังงาน ตลอดจนการทำงานของหัวใจ ปอด ไต และสมอง นอกจากนี้วิตามินเอยังมีบทบาทในการปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระด้วย โดยเราสามารถรับวิตามินเอได้จากการรับประทานอาหารต่างๆ เช่น ปลาแซลมอน ผัก นม ชีส ไข่แดง เนื้อ ตับวัว บร็อกโคลี่ แครอท แคนตาลูป มะม่วง และแอปริคอต รวมไปถึงธัญพืชชนิดต่างๆ
สำหรับผู้หญิง (วัยผู้ใหญ่) ควรตั้งเป้าในการบริโภควิตามินเอประมาณ 700 ไมโคกรัม หรือ 0.0007 กรัมต่อวัน ส่วนปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ชาย (วัยผู้ใหญ่) ควรอยู่ที่ 900 ไมโคกรัม หรือ 0.0009 กรัมต่อวัน โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่มีปัญหาในการย่อยวิตามินที่ละลายได้ในไขมันมีความเสี่ยงสูงที่จะขาดวิตามินเอ แต่การทดแทนด้วยการรับประทานอาหารเสริมกลุ่มวิตามินเอมากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย เพราะอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัว และเวียนศีรษะในระยะยาว ดังนั้นสำหรับใครที่กำลังกังวลว่าร่างกายขาดวิตามินเอ หรือได้รับวิตามินเอจากการรับประทานอาหารไม่เพียงพอ ลองเริ่มจากสำรวจว่าตนเองกำลังมีอาการเหล่านี้อยู่หรือไม่

1. ตาแห้ง
ตาแห้งอาจเป็นสัญญาณแรกของการขาดวิตามินเอ ด้วยดวงตาของเราถูกปกคลุมด้วยชั้นของเหลวที่เรียกว่า “Tear Film” หรือ “แผ่นฟิล์มนํ้าตา” ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องและหล่อลื่นดวงตาให้มองเห็นได้ชัดเจน แต่ถ้าหากเมื่อไหร่ที่แผ่นฟิล์มนํ้าตามีจำนวนหรือปริมาณไม่เพียงพอ ก็อาจทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ และอาจเป็นหนึ่งในสัญญาณแรกๆ ที่ร่างกายกำลังบ่งบอกว่าขาดวิตามินเอ และอาจเป็นรอยโรค Bitot's Spots หรือโรคที่เกิดจากการสะสมของเคราตินเป็นจุดๆ ที่เยื่อบุตาซึ่งเกิดจากการขาดวิตามินเอนั่นเอง

2. ตาบอดกลางคืน
อาการตาบอดกลางคืน (Night Blindness) เป็นสัญญาณเริ่มต้นอีกอย่างหนึ่งของการขาดวิตามินเอ เนื่องจากวิตามินเอเป็นองค์ประกอบสำคัญของโรดอปซิน (Rhodopsin) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ดูดซับแสงที่เรตินาในดวงตา ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเยื่อบุตาและกระจกตา ช่วยในการมองเห็นในที่มืด ดังนั้นหากร่างกายขาดวิตามินเออาจจะส่งผลให้เกิดอาการตาบอดตอนกลางคืนได้

3. แผลหายช้า
วิตามินเอเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยในการรักษาบาดแผล นั่นเพราะวิตามินเอมีบทบาทในการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ช่วยสมานแผลให้หายเร็ว และช่วยป้องกันการอักเสบหรือติดเชื้อของแผลได้ดี เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายมีวิตามินเอไม่เพียงพอ ก็จะทำให้อาการเจ็บป่วย หรือบาดแผลที่เกิดขึ้นนั้นหายได้ยากกว่าที่ควรจะเป็น

4. ผิวแห้ง
แม้การขาดวิตามินเอจะไม่ใช่สาเหตุเดียวของผิวแห้ง แต่การได้รับวิตามินเอไม่เพียงพอก็ส่งผลกระทบต่อปัญหาผิวได้เช่นกัน สังเกตได้อย่างไร ดูง่ายๆ จากเรตินอลซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนผสมยอดนิยมในสกินแคร์ โดยเรตินอลนั้นเป็นอนุพันธ์วิตามินเอและมีประโยชน์ต่อผิวมากมาย ทั้งช่วยลดเลือนริ้วรอย ปรับผิวให้เรียบเนียน เมื่อเห็นความเชื่อมโยงเหล่านี้แล้วก็จะรู้ได้ทันทีว่าการขาดวิตามินเอนั้นมีส่วนต่อการเกิดปัญหาผิวหนัง เนื่องด้วยขาดสิ่งที่จะมาช่วยสร้างเซลล์ผิวใหม่ ลดการอักเสบ และป้องกันผิวแห้งกร้าน ซึ่งเป็นคุณสมบัติของวิตามินเอนั่นเอง

5. ปัญหาการเจริญพันธุ์
จากผลการวิจัยในสัตว์แสดงให้เห็นว่าการขาดวิตามินเออาจเกี่ยวข้องกับภาวะมีบุตรยาก อย่างที่รู้กันดีว่าวิตามินเอมีบทบาทในกระบวนการสืบพันธุ์ แต่ทั้งนี้ผลการศึกษาในมนุษย์ยังไม่แน่ชัด จึงยังจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมต่อไปเพื่อเรียนรู้ว่าการขาดวิตามินเอส่งผลต่อปัญหาการเจริญพันธุ์มากน้อยแค่ไหนทั้งในชายและหญิง อย่างไรก็ดี สำหรับคนที่วางแผนจะมีบุตรก็ควรบริโภคอาหารที่มีวิตามินเอให้เพียงพอที่ร่างกายต้องการ อย่างน้อยก็เพื่อลดโอกาสการมีบุตรยากที่มีความเป็นไปได้ว่ามาจากการขาดวิตามินเอ
ไม่เพียงวิตามินเอเท่านั้น สารอาหารและวิตามินกลุ่มอื่นๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น วิตามินดี, วิตามินซี, โปรตีน, ไลโคปีน และไขมันดี เป็นต้น เพราะสารอาหารแต่ละอย่างมีคุณสมบัติช่วยดูแลบำรุงร่างกายแตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน ควรเริ่มจากการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์เพื่อรับสารอาหารต่างๆ ให้เพียงพอต่อวัน และให้การรับประทานอาหารหรือวิตามินเสริมเป็นแผนรอง และจะต้องศึกษาให้ดีก่อนว่าควรกินในปริมาณเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม





