Vogue Beauty Thailand

WELLNESS

การลดน้ำหนักแบบ 'IF (Intermittent Fasting)' กับข้อมูลที่ควรรู้ก่อนใช้วิธีนี้

ข้อมูลที่ควรรู้เกี่ยวกับการลดน้ำหนักด้วยวิธี IF ต้องอดอาหารอย่างไร กินช่วงเวลาไหน และมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร?

โดย VOGUE BEAUTY
28 กุมภาพันธ์ 2565

วิธีการลดน้ำหนักใหม่ๆ มีมาให้เห็นอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็น การลดน้ำหนักแบบ ‘คีโตเจนิก ไดเอท’ (Ketogenic Diet) หรือ การลดไขมันด้วยการเลือกทานไขมัน และอีกหนึ่งเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอยู่เช่นกันก็คือ เทคนิคการลดน้ำหนักแบบ ‘IF’ หรือ ‘Intermittent Fasting’ 

IF หรือ Intermittent Fasting เป็นการจำกัดช่วงเวลาในการกินอาหาร หลายคนทำแล้วยืนยันว่าช่วยให้น้ำหนักลดลงได้รวดเร็ว แต่สำหรับมือใหม่หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นลดน้ำหนัก ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลดน้ำหนักด้วยวิธี IF ซึ่งวันนี้โว้กบิวตี้ก็ได้รวบรวมข้อมูลความรู้เบื้องต้นมาฝากสำหรับคนที่กำลังหาข้อมูลกันค่ะ

 

Article


Intermittent Fasting คืออะไร? 

การทำ IF เป็นการจำกัดช่วงเวลาในการกินอาหาร ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงอด (Fasting) และช่วงกิน (Feeding) โดยช่วงเวลาในการอดอาหารก็มีอยู่หลายรูปแบบ แต่วิธีที่นิยมมากที่สุด คือ 8:16 หรือการกินอาหาร 8 ชั่วโมงและอดอาหาร 16 ชั่วโมง

ทำ IF ช่วยให้ผอมลงได้อย่างไร?

การทำ IF จะช่วยยกระดับการเผาผลาญไขมันให้กับร่างกาย โดยหลักการเผาผลาญ คือ เมื่ออยู่ในช่วงอดอาหารระดับอินซูลินจะลดลง ระดับ Growth Hormone สูงขึ้น ซึ่งการอดอาหารระยะสั้นนี้จะช่วยยกระดับการเผาผลาญให้ร่างกายได้มากถึง 3.6-14% อีกทั้งยังช่วยลดไขมันสะสมไม่ดีโดยเฉพาะในบริเวณรอบเอวและไม่ทำให้มวลกล้ามเนื้อลดลง ช่วยให้น้ำหนักจากไขมันสะสมลดลง น้ำหนักจึงลดลงนั่นเอง

Article


รูปแบบการกิน IF

1) Lean Gains : อดอาหาร 16 ชั่วโมง กินอาหาร 8 ชั่วโมง

สำหรับวิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ด้วยการอดอาหาร 16 ชั่วโมง กินอาหาร 8 ชั่วโมง แต่สำหรับมือใหม่หรือผู้หญิง แนะนำให้เริ่มต้นจากการอด 14 ชั่วโมง และกิน 10 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้ก่อน สำหรับวิธีนี้สามารถเลือกเวลาที่จะอดและเวลาทานได้ตามสะดวกเลย

2) Fast 5 : กิน 5 อด 19

วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ทำได้ IF ได้สักระยะและร่างกายเกิดการปรับตัวแล้ว คือการเลือกกินอาหารเพียงแค่ 5 ชั่วโมงและอดอาหาร 19 ชั่วโมง

3) Eat Stop Eat : อดอาหาร 24 ชั่วโมง, 1-2 ครั้ง/สัปดาห์

คือ การอดอาหารแบบ 24 ชั่วโมง 1-2 ครั้ง/สัปดาห์ หรือเรียกว่า 24/0 สำหรับวันที่อดอาหารสามารถกินอาหารได้ตามปกติให้เพียงพอต่อแคลอรี่ที่ร่างกายต้องกาย ซึ่งวิธีนี้ไม่แนะนำสำหรับมือใหม่เพราะเนื่องจากร่างกายยังไม่ได้ปรับสภาพ ส่งผลให้ร่างกายแปรปรวนได้

4) 5:2 : กินแบบปกติ 5 วัน กินแบบ Fasting 2 วัน

5:2  คือ การกินแบบปกติ 5 วัน กินแบบ อดอาหาร 2 วัน โดยจะทำติดกัน 2 วันหรือห่างกันก็ได้ ส่วนวันที่อดอาหารก็สามารถเลือกกินได้แต่ลดปริมาณการกินให้น้อยลงมา ประมาณ 1/4 ของ Kcal สำหรับผู้ชายสามารถกินได้ 600 Kcal ส่วนผู้หญิงกินได้ 500 Kcal ต่อวัน

5) Warrior Diet : กินอาหารเพียง 1 มื้อ/วัน, 2 วัน/อาทิตย์

เป็นการกินในตอนกลางคืน 1 มื้อใหญ่/วัน หรือเป็นการอดอาหาร 20 ชั่วโมง และกินเพียง 4 ชั่วโมง ในช่วงเย็นนั่นเอง สำหรับมื้ออาหารจะเน้นเป็นเนื้อสัตว์ที่ให้โปรตีนและผักต่างๆ สำหรับช่วงที่อดอาหารสามารถเลือกทานเครื่องดื่มหรืออาหารแคลอรี่ต่ำได้

6) ADF (Alternate Day Fasting) : การอดอาหารแบบวันเว้นวัน 

วิธีนี้เป็นการอดอาหารแบบวันเว้นวัน เช่น วันนี้อดอาหาร พรุ่งนี้กินปกติ และวันต่อไปก็อดอาหาร สลับกันไปเรื่อยๆ สำหรับวันที่อดอาหารสามารถเลือกทานเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำได้

 

Article


ข้อดี-ข้อเสียของการทำ IF

ข้อดี

  • Growth Hormone สูงขึ้น จึงช่วยกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อและกระตุ้นการสลายไขมัน
  • อินซูลินในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
  • ช่วยลดการกินจุกจิก กินไม่เป็นเวลา
  • ภูมิคุ้มกันร่างกายดีขึ้น
  • ลดโอกาสการเป็นอัลไซเมอร์
  • อายุยืนขึ้น

ข้อเสีย

  • อดอาหารมากเกินไป จนเสี่ยงขาดสารอาหาร
  • หากเลือกช่วงเวลาอดหรือกินอาหารที่ไม่ตอบโจทย์ต่อร่างกาย ทำให้เสี่ยงเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้
  • หากยังติดของหวานในช่วงการทำ IF อาจทำให้เสี่ยงต่อการเสพติดของหวานยิ่งขึ้น
  • หากไม่ออกกำลังกายร่วมด้วยทำให้เสี่ยงต่อการโยโย่ในภายหลัง

IF ไม่เหมาะกับใคร?

การทำ IF แม้จะมีข้อดีต่อร่างกายแต่ก็ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ร่างกายขาดสารอาหาร ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี รวมถึงผู้ที่กำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตร รวมถึงไลฟ์สไตล์ชีวิตของคนที่จำเป็นต้องใช้แรงในการทำงานอย่างหนักด้วย

การลดน้ำหนักไม่ว่าแนวทางไหนก็ล้วนมีข้อจำกัดทั้งสิ้น ทางที่ดีแนะนำให้ศึกษาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนและไม่ควรรีบร้อนหรือใช้วิธีหักดิบ เพื่อให้ร่างกายได้เกิดการปรับตัวก่อนและป้องกันผลข้างเคียงจากการลดน้ำหนักแบบหักโหม

เรื่อง : ชลดา คร่ำมา
เรียบเรียง : วราภรณ์ หงส์วรางกูร