หากต้องการให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรค อย่างหนึ่งที่ต้องแน่ใจเลยคือร่างกายได้รับวิตามินเอที่เพียงพอ เพราะวิตามินเอขึ้นชื่อว่ามีประโยชน์เรื่องเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยเรื่องการมองเห็น ป้องกันการติดเชื้อ รวมถึงมีสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผมให้แข็งแรงอีกด้วย ถึงแม้ว่าเราจะมีทางเลือกรับวิตามินเอเข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทานวิตามินเอในรูปแบบอาหารเสริม แต่แนะนำให้กินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินตามธรรมชาติจะดีที่สุด และนี่คือชนิดอาหารหาง่ายที่เป็นแหล่งวิตามินเอที่คุณควรเติมลงไปในมื้ออาหารประจำวัน
ปริมาณวิตามินเอที่แนะนำต่อวัน
ตามข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) ปริมาณวิตามินเอที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้หญิงคือ 700 ไมโครกรัม ส่วนสตรีมีครรภ์อยู่ระหว่าง 750 - 770 ไมโครกรัม โดยขึ้นอยู่กับอายุครรภ์ ส่วนผู้ชายอยู่ที่ 900 ไมโครกรัม และแนะนำระหว่าง 300 - 700 ไมโครกรัม เป็นปริมาณสำหรับเด็กโดยขึ้นอยู่กับอายุและเพศ)
1 / 8
ชีส
ชีสเป็นของชอบของหลายๆ คน ซึ่งนอกจากจะอร่อยแล้ว ยังช่วยเติมวิตามินเอให้กับร่างกายอีกด้วย โดยเชดดาร์ชีสหนึ่งชิ้นประกอบด้วยวิตามินเอประมาณ 6% ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน โดยเราสามารถรับประทานชีสเป็นอาหารว่าง หรือใส่ในอาหาร เช่น ซุปและสลัด ทั้งนี้แนะนำให้กินชีสในปริมาณที่พอเหมาะเท่านั้นเพราะชีสมีไขมันอิ่มตัวอยู่ด้วย
2 / 8
ไข่
ไข่หนึ่งฟองประกอบด้วยวิตามินเอประมาณ 16% ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน โดยแนะนำให้ใส่ไข่ลงไปในการปรุงอาหารร่วมกับผักสดและผลไม้นานาชนิด เพื่อเป็นการบริโภคสารไฟโตนิวเทรียนต์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของคนมากมาย หรือหากจะรับประทานไข่แบบง่ายๆ ก็สามารถเอาไปทำได้หลากหลายเมนู อาทิ ไข่กวน ไข่ลวก ไข่ตุ๋น เป็นต้น
3 / 8
น้ำมันจากปลา
อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าน้ำมันจากปลา หรือปลาที่มีไขมัน มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย และมีวิตามินเอรวมอยู่ด้วย ซึ่งพบได้มากในปลาแซลมอน ทั้งยังมีโอเมก้า-3 สูง กรดไขมัน สารต้านการอักเสบ และช่วยให้ระบบสมอง หัวใจ และหลอดเลือดทำงานได้ดีขึ้น และที่สำคัญยังช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินเอเข้าสู่ร่างกายอีกด้วย
4 / 8
ตับ
แม้ตับจะเป็นเครื่องในสัตว์ แต่ถูกยกให้เป็นซูเปอร์ฟู้ดเพราะมีวิตามินเอสูงมาก โดยตับไก่ 1 ออนซ์มีวิตามินเอประมาณ 62% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน นอกจากนี้ตับยังอุดมไปด้วยสารอาหารนานาชนิด ทั้งวิตามินหลากหลายตัวและแร่ธาตุที่มีประโยชน์มากมาย รวมถึงมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่หลายคู่ซึ่งดีต่อร่างกายด้วย
5 / 8
นม
นมไม่ใช่แหล่งโปรตีนและแคลเซียมเท่านั้น แต่นมยังอุดมด้วยวิตามินเออีกด้วย โดยนมหนึ่งถ้วยมีวิตามินเอประมาณ 5% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน นมสด 100 กรัมนั้นมีวิตามินเอมากกว่าสามเท่าของวิตามินเอในนมถั่วเหลือง การดื่มนมเป็นประจำจะช่วยการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ การมองเห็น และเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6 / 8
แครอท
แครอทขึ้นชื่อว่ามีประโยชน์ช่วยบำรุงสุขภาพของดวงตา เนื่องจากมีปริมาณเบต้าแคโรทีนสูงที่เมื่อโดนย่อยสลายที่ตับแล้วจะเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอ ซึ่งร่างกายนำไปใช้สร้างสารโรดอปซินในดวงตาส่วนเรตินา ทำให้ตามีความสามารถในการมองเห็นในตอนกลางคืนได้ดี และลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกด้วย โดยแครอทหนึ่งลูกประกอบด้วยวิตามินเอมากกว่า 200% ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวันเลยทีเดียว
7 / 8
มะม่วง
เพิ่มทั้งวิตามินเอและความอร่อยสดชื่นให้กับร่างกายด้วยผลไม้เมืองร้อยอย่างมะม่วง โดยมะม่วงหั่นเต๋าหนึ่งถ้วยจะมอบวิตามินเอ 25% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน สามารถรับประทานได้ทั้งแบบสุกและดิบ หรือจะนำไปปั่นเป็นเครื่องดื่มสมูทธีก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้มะม่วงสุกอาจมีน้ำตาลอยู่สูง จึงควรควบคุมด้วยการรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ
8 / 8
มะละกอ
ผลไม้ที่หาได้ง่ายๆ และราคาไม่แพงอย่างมะละกอ หนึ่งถ้วยมีวิตามินเอถึง 31% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน นอกจากนี้มะละกอยังมีสารอาหารมากมาย แถมยังมีเอ็นไซม์ช่วยย่อยอาหารซึ่งดีต่อลำไส้ หากอยากเพิ่มความแปลกใหม่ในการกินมะละกอสุก ลองบีบมะนาวลงไปสักหน่อย รับรองว่าจะช่วยให้กินมะละกอได้เพลินและอร่อยยิ่งขึ้น
WELLNESSเปิดพิกัด 7 ร้านข้าวกล่องอาหารคลีนเดลิเวอรี่ อร่อยง่าย ดีต่อสุขภาพ ไม่ต้องทำเอง!
WELLNESSเปิด 10 อาหารที่ช่วยรับมือกับอาการปวดประจำเดือน กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดได้ดี



