เวลาเลือกสกินแคร์ หลายคนอาจสงสัยว่า ‘เช้ากับก่อนนอนต่างกันอย่างไร?’ จริงๆ แล้วผิวเรามีภารกิจไม่เหมือนกันในแต่ละช่วงเวลา ตอนเช้าผิวต้องการการปกป้องจากแสงแดดและมลภาวะ ส่วนตอนกลางคืนคือช่วงเวลาฟื้นฟูและซ่อมแซม ดังนั้นสกินแคร์ที่ใช้จึงไม่เหมือนกัน โว้กบิวตี้พามาชี้แจงข้อแตกต่างว่าการบำรุงผิวในตอนเช้าควรโฟกัสที่อะไร ก่อนนอนควรใช้ตัวไหนถึงจะช่วยฟื้นฟูผิวได้ดี และทำไมถึงสำคัญต่อสุขภาพผิว

Royal Lift White Concentrate Night Spa (ราคา 1,900 บาท) จาก Her Hyness
-
ทำไม ‘เช้า’ กับ ‘ก่อนนอน’ ถึงต่างกัน?
ภารกิจของผิวตอนเช้า เน้นเรื่องการปกป้อง เช่น ตอนกลางวันผิวโดนแสงยูวี, มลภาวะ, ออกซิเดชัน และการสัมผัสจากสิ่งแวดล้อม จึงต้องการ การป้องกันมลภาวะและรังสีเป็นหลัก ในส่วนของภารกิจของผิวตอนกลางคืน เน้นเรื่องซ่อมแซมและฟื้นฟู เพราะตอนหลับเป็นช่วงที่เซลล์ผิวมีการซ่อมแซม การรีเจเนอเรตและผลิตโปรตีนเพื่อซ่อมแซมผิวอย่างการสร้างคอลลาเจน จึงเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการใช้สารเรติโนอยด์, กรดผลไม้ (AHA) และสารที่ช่วยฟื้นบำรุงในระยะยาว

UV Ultimate Matte & Oil Control Sunscreen (ราคา 890 บาท) จาก Mizumi
-
ขั้นตอนของสกินแคร์ที่ควรใช้
สกินแคร์ที่เหมาะสำหรับตอนเช้า ได้แก่ เคลนเซอร์, เซรั่ม, มอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบา และครีมกันแดด แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี, กรดไฮยาลูรอนิก, และไนอาซินาไมด์ เพราะเป็นส่วนผสมที่จะช่วยป้องกันผิวจากรังสียูวีและมลภาวะภายนอกได้ดี
สกินแคร์ที่เหมาะสำหรับตอนกลางคืน มองหาส่วนผสมที่เน้นการฟื้นฟูและซ่อมแซม เช่น เรตินอล, กรดผลัดเซลล์ผิวอย่าง AHA หรือ BHA รวมถึงส่วนผสมที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงข้ามคืนอย่าง เซราไมด์, เปปไทด์ และวิตามินอี และผลิตภัณฑ์ที่ควรมีสำหรับไนท์รูทีนคือ การล้างหน้าแบบ Double Cleanse, โทนเนอร์, เซรั่ม, มอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อเข้มข้น และเฟสออยล์หรือสลีปปิ้งมาส์ก

Retinol B3 Serum (ราคา 1,700 บาท) จาก La Roche-Posay
-
ส่วนผสมที่ควรหลีกเลี่ยงในแต่ละช่วงเวลา
ตอนเช้าควรหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่มี Retinoids (Retinol หรือ Tretinoin) เพราะแสง UV ทำให้ส่วนผสมเสื่อมประสิทธิภาพและทำให้ผิวไวต่อแดด รวมถึงการใช้กรดผลไม้ (AHA/BHA) เพราะทำให้ผิวไวต่อแสงเช่นกัน หากใช้ตอนเช้าโดยไม่มีกันแดด จะเสี่ยงแสบแดงหรือเกิดจุดด่างดำ หรือแม้แต่การผสมระหว่าง Benzoyl Peroxide และวิตามินซี อาจไปลดประสิทธิภาพของวิตามินซี หรือทำให้ระคายเคือง นอกจากนี้หากใครมีผิวมันหรือผิวผสม ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่เข้มข้นเกินไป เช่น สลีปปิ้งมาส์กหรือไนท์ครีมที่มีเนื้อสัมผัสเข้มข้น อาจทำให้เหนอะผิว ทาแล้วไม่ซึมทันสำหรับทาแต่งหน้าตอนเช้า
สำหรับในช่วงกลางคืน แม้ว่าจะเป็นเวลาที่ผิวฟื้นฟูและซ่อมแซม แต่ก็มีสารบางตัวที่ควรระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยง เพื่อป้องกันการระคายเคืองและลดประสิทธิภาพของสกินแคร์ เช่น การใช้ Retinoids ร่วมกับ AHA/BHA ในคืนเดียวกัน เพราะจะทำให้ผิวเกิดการลอก แสบแดง หรืออักเสบได้ง่าย นอกจากนี้ Benzoyl Peroxide ก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้พร้อมกับ Retinoids เพราะอาจทำให้ Retinoids เสื่อมประสิทธิภาพและเพิ่มความระคายเคืองได้ เช่นเดียวกับการใช้สารแรงหลายตัวพร้อมกันโดยไม่เว้นระยะ เช่น Retinoids + วิตามินซี หรือ AHA/BHA + วิตามินซี ก็อาจทำให้ผิวเครียด ระคายเคือง และเกิดการอักเสบได้ง่าย สารที่ไวต่อแสงบางชนิด เช่น L-Ascorbic Acid (วิตามินซีรูปแบบดั้งเดิม) แม้จะใช้กลางคืนก็ต้องเก็บในบรรจุภัณฑ์มืดและแห้งสนิท เพื่อไม่ให้เสื่อมประสิทธิภาพ ดังนั้นหลักสำคัญคือควรเริ่มใช้ทีละตัว แยกวัน หรือเว้นระยะอย่างน้อย 1–2 คืนระหว่างสารแรงต่างชนิด เพื่อให้ผิวมีเวลาฟื้นฟูและลดความเสี่ยงระคายเคือง





