Vogue Beauty Thailand

SKINCARE

ชี้ความแตกต่างระหว่างกันแดด Physical Sunscreen และ Chemical Sunscreen

รู้หรือไม่ว่ากันแดดแบบ Physical Sunscreen และ Chemical Sunscreen มีความแตกต่างกันอย่างไร แบบไหนถึงเหมาะกับสภาพผิวของเรา

โดย Panyabhassara Promchaiwattana
15 ตุลาคม 2567

     ‘ครีมกันแดด’ เป็นสกินแคร์ที่เราใช้เป็นประจำทุกวัน โดยมีความสำคัญอันดับต้นๆ ไม่ต่างจากสกินแคร์ชิ้นอื่นที่เราใช้ เพราะจะช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีของแสงแดด ซึ่งเป็นตัวการหลักที่ทำให้เกิดปัญหาผิวตามมาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจุดด่างดำ, ริ้วรอย และโรคผิวหนังต่างๆ ฉะนั้นการเลือกส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรเอาใจใส่และเลือกให้เหมาะกับความต้องการของผิว โดยประเภทของครีมกันแดดจะมีอยู่ 2 ประเภทหลักๆ ในท้องตลาด ได้แก่ Physical Sunscreen และ Chemical Sunscreen ไปดูกันว่าความแตกต่างของครีมกันแดดเหล่านี้ มีอะไรบ้าง

 

Physical Suncreen

     หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า Mineral Sunscreen มีส่วนผสมหลักๆ เพียง 2 อย่าง คือ Zinc Oxide และ Titanium Dioxide ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ได้รับการยอมรับความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพจาก FDA ของประเทศสหรัฐอเมริกา มีคุณสมบัติในการป้องกันรังสี UV โดยการสะท้อนรังสี UVA และ UVB ให้กระจายออกจากผิวหน้า ทำให้ไม่มีสารตกค้าง เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายและผิวบอบบาง จึงเป็นกลุ่มของสารกันแดดที่แพทย์ผิวหนังแนะนำให้หันมาใช้กันมากขึ้น เพราะโดดเด่นให้เรื่องความปลอดภัยของผิวหน้า นอกจากนี้ยังไร้ส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อประการังและสัตว์ใต้ทะเลอีกด้วย

 

ข้อดี

  • ป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB และให้การป้องกันแสงแดดที่ยาวนานกว่า
  • โอกาสแพ้และอุดตันน้อยกว่า จึงเหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายและผิวบอบบาง 
  • ไม่มีสารที่ทำลายสิ่งแวดล้อมทางทะเล ไม่ทำให้ปะการังฟอกขาว
  • ทาแล้วออกแดดได้ทันที โดยไม่ต้องรอทาก่อนออกแดด 20 นาที

 

ข้อเสีย

  • เนื้อค่อนข้างหนา มีความเหนียวเหนอะหนะ เกลี่ยยาก จึงอาจทำให้หน้าวอกหรือเกิดคราบขาวได้
  • ไม่ติดทน หลุดออกง่าย เมื่อเจอน้ำหรือเหงื่อ

 

Article
Article

Physical White Extra Fluid SPF50+ PA+++ จาก Smooth E (ราคา 590 บาท) 

 

Chemical Sunscreen

     คุณสมบัติหลักคือช่วยดูดซับรังสี UV แล้วเปลี่ยนเป็นความร้อน โดยความร้อนที่ปล่อยออกมานี้ไม่เป็นอันตรายกับผิวหน้าของเรา ทำให้รังสียูวีบางส่วนจากแสงแดดไม่กระทบผิวหนัง โดยสามารถปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ทุกตัว แต่การปกป้องจากรังสี UVA-I, UVA-II จะขึ้นอยู่กับส่วนผสมที่ใส่มาในครีมกันแดดแต่ละตัว ด้วยความที่มีส่วนผสมของสารเคมีหลายชนิด จึงอาจไม่เหมาะสำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่ายและผิวบอบบาง เพราะสารบางชนิดมีส่วนผสมของ UV Filter ที่เป็นเคมีทำให้มีโอกาสระคายเคืองและอุดตันได้มากกว่าแบบ Physical

 

ตัวอย่างส่วนผสมที่ใช้ในครีมกันแดดแบบ Chemical 

- Octocrylen

- Butyl Methoxydibenzoylmethane (Avobenzone) 

- Disodium Phenyl Dibenzimidazole Tetrasulfonate 

- Methyl Anthranilate

- Terephthalylidene Dicamphor Sulfonic Acid

- Benzophenone-3 (Oxybenzone)

- Benzophenone-4 (Sulisobenzone)

- Bis-Ethylhexyloxyphenol Methoxyphenyl Triazine (Tinosorb S)

- Methylene Bis-Benzotriazolyl Tetramethylbutylphenol (Tinosorb M/Bisoctrizole)

- 4-Methylbenzylidene Camphor (Enzacamene)

- Homomenthyl Salicylate (Homosalate / HMS)

 

ข้อดี

  • เนื้อครีมบางเบา ไม่มีสี ไม่หนักผิว ทาแล้วหน้าไม่ขาววอก
  • เหมาะสำหรับการว่ายน้ำหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งที่เสียเหงื่อเยอะ เพราะสามารถกันน้ำกันเหงื่อได้มากกว่า
  • ราคาย่อมเยา หาซื้อได้ง่าย

 

ข้อเสีย

  • มีโอกาสการระคายเคืองและอุดตันมากกว่า 
  • อาจต้องทาซ้ำบ่อยๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง และรออย่างน้อย 20 นาทีก่อนออกแดด ถึงจะมีประสิทธิภาพกันแดดได้
  • มีสารบางชนิดที่อาจทำลายสิ่งแวดล้อมทางทะเล ทำให้ทำลายแนวปะการังหรือสัตว์ในน้ำได้

 

Article
Article
ภาพ : www.freepik.com, Courtesy of brands