เฟสออยล์เป็นอีกหนึ่งไอเท็มสกินแคร์ที่สามารถเข้าได้กับหลายๆ สภาพผิว และสามารถใช้ได้เรื่อยๆ เพื่อช่วยเติมความชุ่มชื่นและฟื้นฟูผิวให้อิ่มฟู ทั้งนี้การใช้เฟสออยล์ให้เวิร์คกับผิวของตัวเอง ควรเริ่มจากการดูส่วนผสมและประเภทของน้ำมัน วันนี้ทีมบิวตี้จึงขอรวมทิปส์สั้นๆ ในการเลือกเฟสออยล์มาฝากกัน ว่าแต่ละสภาพผิวควรโฟกัสที่น้ำมันบำรุงผิวประเภทไหนบ้าง
ผิวแห้ง
แนะนำให้มองหาเฟสออยล์ที่มีส่วนผสมของกรดไขมันจำเป็น วิตามินอี และเซราไมด์ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเสริมความแข็งแรงให้เกราะปกป้องผิว โดยช่วยกักเก็บน้ำไว้ในผิวและล็อคความชุ่มชื่นเอาไว้
ผิวมัน
สำหรับคนที่มีผิวมัน เฟสออยล์อาจเป็นไอเท็มที่หลายคนกล้าๆ กลัวๆ หรือเลี่ยงใช้ ทั้งนี้ทุกเฟสออยล์ไม่ได้ส่งผลเสียต่อผิวมันเหมือนกันหมด เพียงเลี่ยงน้ำมันที่หนักผิวจนเกินไปอย่างน้ำมันมะพร้าวแล้วเลือกเนื้อสัมผัสของออยล์ที่บางเบา โดยมองหาเฟสออยล์คุณภาพดีที่มาพร้อมสรรพคุณช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและอนุมูอิสระ อย่างส่วนผสมของ Salicylic Acid, Omega 6 และเรตินอยด์ ที่มีคุณสมบัติช่วยควบคุมการผลิตน้ำมัน
ผิวแพ้ง่าย
สำหรับคนผิวบอบบางหรือ Sensitive Skin การใช้เฟสออยล์เป็นอีกหนึ่งเรื่องท้าทาย เพราะถึงแม้ออยล์จะมาจากน้ำมันสกัดจากธรรมชาติ ก็สามารถก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้ ดังนั้นทางที่เซฟที่สุดคือ ก่อนเริ่มใช้ออยล์ แนะนำให้ทดสอบบนบริเวณเล็กๆ ของผิวเพื่อทำการ Patch Test ว่าจะมีอาการแพ้หรือระคายเคืองหรือไม่ นอกจากนี้ควรเลี่ยงน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอสเซนเชียล ออยล์ โดยโฟกัสไปที่ส่วนผสมอย่าง น้ำมันมารูล่า มีส่วนผสมของวิตามินอี น้ำมันสควาเลน หรือน้ำมันสกัดจากโรสฮิป
เฟสออยล์ที่เราอยากแนะนำ:
Superfood Facial Oil จาก Elemis ราคา 2,200 บาท
1 / 6
Daily Reviving Concentrate Face Oil จาก Kiehl's ราคา 2,400 บาท
2 / 6
VineActiv Overnight Detox Oil จาก Caudalie ราคา 2,030 บาท
3 / 6
Rosehip BioRegenerate Oil จาก Pai Skincare ราคา 1,340 บาท
4 / 6
Luna Sleeping Night Oil จาก Sunday Riley ราคา 2,030 บาท
5 / 6
Virgin Marula Luxury Facial Oil จาก Drunk Elephant ราคา 2,810 บาท
6 / 6

